จะวุ่นไหม?คลิปแฉ1แข้งเรอัลมาดริดเหมือนจวกซีดาน

ในตอนที่ เรอัล มาดริด ไปเยือน คัมป์ นู ของ บาร์เซโลน่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น โมบีสตาร์ สื่อของสเปนถ่ายชอตที่ อีสโก้ เหมือนจะเฉ่ง ซีเนดีน ซีดาน เอาไว้ได้ โดยดาวเตะชาวสแปนิชบ่นเรื่องที่เขาได้ลงเล่นน้อย หลังจากซีซั่นนี้ยังไม่เคยได้เล่นครบ

อีสโก้ กองกลาง เรอัล มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเวที ลา ลีกา สเปน ถูกถ่ายคลิปในตอนที่เหมือนกับว่ากำลังตำหนิ ซีเนดีน ซีดาน เทรนเนอร์ของทีมที่ไม่ยอมใช้งานเขามากเท่าที่ควร

ถึงแม้ฤดูกาลนี้ อีสโก้ จะได้ลงเล่นในลีกไปทั้งหมด 4 เกมจากทั้งหมด 6 นัด แต่มันก็เป็นในฐานะตัวจริงเพียง 2 เกมเท่านั้น แถมมันยังไม่มีนัดไหนที่เขาได้ลงเล่นครบ 90 นาทีเต็มเลยด้วย โดยถ้านับเป็นจำนวนนาทีแล้วนั้นเขาก็ได้เล่นไปเพียงรวม 148 นาที

ทั้งนี้ โมบีสตาร์ สื่อของสเปนรายหนึ่งไปจับคลิปตอนที่ อีสโก้ กำลังคุยกับเพื่อนร่วมทีมตอนอยู่ที่ คัมป์ นู สนามเหย้าของ บาร์เซโลน่า เอาไว้ได้ ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวพูดกับเพื่อนร่วมทีมว่า "ถ้าเกิดเขาจะถอดฉันออกจากสนามแล้วล่ะก็ เขาก็จะทำตั้งแต่นาทีที่ 50 หรือ 60 ของเกม บางครั้งเขาเปลี่ยนตัวฉันตั้งแต่ตอนพักครึ่งด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาจะเปลี่ยนฉันลงไปเล่นแล้วน่ะเขาก็จะส่งฉันลงสนามในนาทีที่ 80 นู่น"

รวยแต่ต้องปิด แข้งขอนแก่นขับเบ๊นซ์แต่ไม่กล้าให้ใครเห็น

อาชีพนักฟุตบอลสำหรับใครหลายคน สามารถทำให้ฐานะลืมตาอ้าปากได้ แต่สำหรับนักเตะรายนี้ มาเล่นฟุตบอลอาชีพไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน เนื่องจากที่บ้านมีฐานะที่ร่ำรวยอยู่แล้ว แต่เขามาเพื่อตามล่าความฝันกับกีฬาที่เขาหลงใหล

    “เบส”ธนพล ศรีทอง ดาวยิงขอนแก่น ยูไนเต็ด เกิดในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างมั่นคง โดยครอบครัวทำธุรกิจสัมปทานรถบัสประจำทางระหว่างอำเภอเมือง ขอนแก่น ไปยังอ.กระนวน มีรถวิ่งในเส้นทางนี้กว่า 20 คัน ด้วยชีวิตที่ค่อนข้างสุขสบายในวัยเด็ก แต่เจ้าตัวก็ยังมีความฝันอยากจะเล่นฟุตบอลอาชีพ เมื่อทีมขอนแก่น เอฟซี บ้านเกิดเคยขึ้นไปเล่นอยู่ในไทยลีกและเจ้าตัวตามเชียร์ถึงขอบสนาม

    เส้นทางฟุตบอลของ “เบส”ไม่มีอะไรหวือหวา เจ้าตัวเรียนอยู่ร.ร.สาธิตขอนแก่น ตั้งแต่ประถมจนมัธยมปลาย แต่โอกาสเรื่องฟุตบอลค่อนข้างมีน้อย เนื่องจากเด็กในโรงเรียนเล่นฟุตบอลเป็นไม่กี่คน เจ้าตัวต้องดิ้นรนไปคัดฟุตบอลระดับเยาวชนของจังหวัดขอนแก่นจนได้ติดทีมไปเล่นกีฬาเยาวชนแห่งชาติ

 
    เมื่อขึ้นม.ปลาย “เบส”ธนพล ตัดสินใจไปคัดกับทีมขอนแก่น เอฟซี ด้วยพาหนะรถเบ๊นซ์ของครอบครัว แต่ด้วยความกลัวว่าถ้าหากไปแบบนี้อาจโดนมองว่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ จึงเอารถเบ๊นซ์ไปจอดห่างไกลจากสนามซ้อมแล้วเดินเข้าไปคัดตัว

 
    “ปีแล้วปีเล่าผมไปคัดก็ไม่เคยติด แต่ผมก็ไม่ลดละพยายาม ใช้เวลาในการคัดถึง 4 ปี มาติดตอนเรียนอยู่ม.ขอนแก่น ปี 3 แล้ว ซึ่งก็ต้องแบ่งเวลาทั้งการเรียนและการเล่น มีอยู่วันหนึ่งผมต้องบินไปเตะกับกระบี่ เอฟซี แต่อีกวันต้องพรีเซ็นต์งานกับอาจารย์ที่ขอนแก่น ก็นั่งเครื่องบินหลังแข่งจบมาลงที่สุวรรณภูมิ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ก็ขับรถมารับที่สุวรรณภูมิ กลับขอนแก่น(หัวเราะ) ก็ถือว่าเหนื่อยเพราะบอลอาชีพก็อยากเล่น เรียนก็อยากจบ แต่ก็จบมาได้ในที่สุด”

 
    หลังจากเรียนจบก็มุ่งสมาธิเล่นฟุตบอลให้กับขอนแก่น เอฟซี โดยเล่นอยู่ 6 ปี ย้ายไปทีโอที ไม่ทันไรทีมก็ยุบ เลยกลับมาเล่นให้ขอนแก่น มอดินแดง ซึ่งเจ้าตัวระเบิดฟอร์มยิงไป 14 ประตูในไทยลีก 4 จนฟอร์มเตะตาผู้บริหารทีมขอนแก่น ยูไนเต็ด และดึงไปร่วมทีมในที่สุด

 
    ความจริงแล้ว นอกจากการเรียนกับการเล่นฟุตบอล เจ้าตัวยังต้องเลือกเส้นทางเมื่อครอบครัวจะส่งไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา แต่หลังจากไปลองใช้ชีวิตอยู่ 1 ปี เจ้าตัวเลือกที่จะอยู่เมืองไทยเพื่อตามล่าความฝันฟุตบอลอาชีพแทน ส่วนพี่ชายตอนนี้ไปปักหลักเป็นทหารอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว

 
    ถึงตอนนี้ “เบส”ธนพล ยิงให้ขอนแก่น ยูไนเต็ด ไป 1 ประตู ซึ่งเจ้าตัวก็เผยว่า ตำแหน่งของตนเป็นกองหน้าก็จริง แต่บทบาทไม่ใช่หน้าเป้า เป็นตัวซัพพอร์ตให้กองหน้าต่างชาติมากกว่า อย่างไรก็ดีแม้ตอนนี้อายุจะย่าง 29 ปีแล้ว แต่ความฝันที่อยากเล่นบอลไทยลีก 1 ก็ยังมีอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอโชว์ฟอร์มให้กับขอนแก่น ยูไนเต็ด ให้เต็มที่ และถ้าเล่นได้ดี โอกาสก็จะมาถึงเอง

 

เปาโดนพักงาน!เซ่นเมินเช็คจังหวะสำคัญเอฟเวอร์ตัน-ลิเวอร์พูล

องค์กรกรรมการลูกหนังอาชีพ ไม่นิ่งนอนใจจับการสั่งห้าม เดวิด คูท ท่านเปาฉาว ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินที่ 1 และผู้ตัดสินในห้องวีเออาร์ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลังจากไม่สนใจเช็คจังหวะสำคัญที่อาจมีผลทำให้เกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เปลี่ยนไป
    คณะกรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพแห่งอังกฤษ (พีจีเอ็มโอแอล) ประกาศสั่ง เดวิด คูท ห้ามทำหน้าที่ในฐานะผู้ตัดสินหลัก และผู้ตัดสินในห้องวีเออาร์ เกมพรีเมียร์ลีก สุดสัปดาห์นี้ หลังเจ้าตัวเมินเฉยที่จะพิจารณาจังหวะสำคัญในแมตช์ เอฟเวอร์ตัน เสมอ ลิเวอร์พูล 2-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา  

    คูท โดนวิจารณ์อย่างหนักในการทำหน้าที่ผู้ตัดสินวีเออาร์ ที่มัวแต่ให้ความสำคัญการเช็คล้ำหน้าในจังหวะที่  จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวาร "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ปะทะกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เท่านั้น โดยไม่สนเช็คจังหวะที่ โกลทีมชาติอังกฤษ เจตนาพุ่งเสียบหนักใส่ แนวรับเลือดดัตช์ ซึ่งมีสิทธิ์ที่จะทำให้ พิคฟอร์ด โดนใบแดงและเสียจุดโทษได้เลย

    อย่างไรก็ตาม องค์กรกรรมการลูกหนังอาชีพเมืองผู้ดี ไม่นิ่งนอนใจในกรณีนี้ โดยที่พวกเขาได้สั่งห้าม คูท ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินที่ 1 และกรรมการห้องวีเออาร์ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ แต่ให้ทำหน้าที่เพียงแค่ผู้ตัดสินที่ 4 ในแมตช์ที่ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคมนี้เท่านั้น

    ทั้งนี้จังหวะที่ พิคฟอร์ด เสียบหนักใส่ ฟาน ไดค์ ส่งผลให้ ปราการหลังทีมชาติฮอลแลนด์ ต้องเข้ารับการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกขาด โดย "หงส์แดง" ไม่สามารถระบุได้ว่านักเตะต้องพักนานแค่ไหน แต่สื่อคาดการณ์กันว่าอาจจะ 6 เดือน หรือทั้งฤดูกาล 2020/2021

สิงห์ระวังคาวานี่! 5 ประเด็นเด็ดก่อนบิ๊กแมตช์แมนยูปะทะเชลซี

ศึกพรีเมียร์ลีกคืนนี้มีระอุเมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งกลับมาฟอร์มเข้าฝักในสองเกมหลังสุด เตรียมเปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด รับการมาเยือนของ เชลซี ที่ผลงานยังขึ้นๆลงๆ ต้องรอติดตามกันว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะมีไม้เด็ดพิชิตคู่แข่งยังไงในคืนนี้ แต่ก่อนเกมมาเกาะติดประเด็นที่น่ารู้กัน
1.คาวานี่เดบิวต์

 

    การจบฤดูกาลที่แล้วด้วยการยิงถึง 23 ประตูในทุกรายการเกือบทำให้แฟนผีเชื่อว่า อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล คือกองหน้าที่ทีมต้องการ อย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญของสตาร์แมนฯ ยูไนเต็ดรายนี้คือความสม่ำเสมอ

    “เขาเริ่มต้นฤดูกาลไม่ดีอีกแล้ว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงพูดตลอดว่าพวกเราต้องการกองหน้าหมายเลข 9 ระดับท็อปคลาส” พอล สโคลส์ ตำนานแข้งผีแดงกล่าว ฤดูกาลนี้ มาร์กซิยาล ยังคงยิงประตูไม่ได้แถมผลงานในสนามยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ตัวอย่างมีให้เห็นได้ชัดในเกมล่าสุดกับ เปแอสเช

    โซลชา รู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องมีกองหน้าเบอร์ 9 จอมถล่มตาข่ายหาก แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการให้ซีซั่นนี้กลับมาอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็น และการที่ มาร์กซิยาล โดนโทษแบนอยู่น่าจะเป็นโอกาสดีที่ เอดินสัน คาวานี่ กองหน้าวัยเก๋าที่เซ็นสัญญามาในตลาดนักเตะวันสุดท้ายจะได้พิสูจน์ตัวเองเสียที

    หัวหอกชาวอุรุกวัยมีสถิติยิงประตูใส่ เชลซี ทั้งหมด 3 ลูกจาก 8 เกม หากไม่ใช่เรื่องปัญหาความฟิต คงไม่มีเหตุผลอื่นแล้วที่ โซลชา จะไม่ส่งเขาลงตัวจริงในเกมนี้

2.ตวนเซเบ้ลงต่อ?

    หลังจาก อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์กับ แอสตัน วิลล่า ในฤดูกาล 2018/19 เจ้าตัวก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมาแย่งตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กตัวจริงของ “ผีแดง” ให้ได้ แต่ทว่าฤดูกาล 2019/20 กลับกลายเป็นฝันร้ายของเขาอย่างแท้จริง

    แม้จะมีผลงานที่น่าประทับใจอยู่หลายเกมแต่เขาโชคร้ายที่ต้องเจอกับอาการบาดเจ็บแฮมสตริงอยู่ตลอด โดยนับตั้งแต่เกม คาราบาว คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศกับ โคลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีก่อน เขาก็ไม่ได้กลับมาลงสนามให้ทีมชุดใหญ่อีกเลยจนกระทั่งฤดูกาลนี้โชคชะตาเริ่มเข้าข้างเมื่อ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ เอริก ไบยี่ ต่างไม่พร้อมในเกมดวล เปแอสเช นั่นทำให้เขาได้กลับมาลงสนามในรอบ 10 เดือน

    ผลงานสุดโดดเด่นในการจัดการ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ แบบอยู่หมัดจนได้รับคำชมล้นหลามทำให้แฟนผีหลายคนเชียร์ให้ ตวนเซเบ้ ลงแทนที่ของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มตกอย่างหนัก แต่ก็ต้องอย่าลืมว่านักเตะเพิ่งหายจากการบาดเจ็บยาว การโหมใช้งานอาจจะมีผลลพัธ์ออกมาไม่ดี ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วกับ เอริก ไบยี่ ที่บาดเจ็บไปแล้วอีก 3-4 สัปดาห์ ต้องรอดูกันว่า โซลชา จะให้เขาลงเล่นต่อเนื่องหรือไม่?

3.ถึงเวลาซีเย็คตัวจริง?

    ฮาคิม ซีเย็ค เซ็นสัญญาเข้ามาร่วมทัพ เชลซี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปีกชาวโมร็อกโกเดินทางมาที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ช้ากว่ากำหนดเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า แถมเจ้าตัวดันโชคร้ายต่อเนื่องเมื่อได้รับบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่องกับ ไบรท์ตัน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม

    หลังจากวันนั้นเขาลงสนามเพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น โดยลงมาในฐานะตัวสำรองสองนัดหลังสุด (เซาธ์แฮมป์ตัน, เซบีย่า) รวมเป็นเวลาทั้งหมด 46 นาที แฟร้งค์ แลมพาร์ด ดูจะยังไม่เร่งใช้งานมากนักแต่ในคืนนี้มีโอกาสอยู่เหมือนกันที่เขาจะออกสตาร์ทตัวจริงเป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก

    น่าสนใจว่ากุนซือ “สิงห์บลูส์” จะจัดใครลงสนามเพราะว่าตัวเลือกในแนวรุกมีมากทีเดียว ที่แน่นอนคือ ติโม แวร์เนอร์ คงจะยึดหน้าเป้าเช่นเดิมพร้อมมีกองกลางตัวสนับสนุนอย่าง ไค ฮาแวร์ทซ์ ขณะที่ตัวรุกฝั่งขวา คริสเตียน พูลิซิช คงไม่พลาดออกสตาร์ทตัวจริง

    ดังนั้นตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับ ซีเย็ค คือตัวรุกฝั่งซ้าย นั่นหมายความว่า เมสัน เมาน์ท ที่ลงสนามมาตลอดอาจถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง แต่คงต้องดูการตัดสินของ แลมพาร์ด ในคืนนี้อีกครั้ง

4.คู่เซนเตอร์ที่กำลังตามหา

    คู่เซนเตอร์แบ็กกลายเป็นปัญหาหลักที่ แลมพาร์ด พยายามแก้ไขมาตั้งแต่เข้ามาคุมทีมเมื่อซัมเมอร์ปี 2019 คูร์ท ซูม่า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ ฟิกาโย โทโมริ เข้าๆออกๆทีมอยู่ตลอดขึ้นอยู่กับผลการแข่งขัน, ความผิดพลาด, ความฟิต และฟอร์มการเล่น

    แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า แลมพาร์ด จะหาเซนเตอร์แบ็กที่ลงตัวมากที่สุดได้แล้ว หลัง ซูม่า และนักเตะที่เซ็นสัญญาฟรีมาในช่วงซัมเมอร์อย่าง ติอาโก้ ซิลวา ทำผลงานได้ดี โดยทั้งสองเก็บคลีนชีทได้ในเกมพบ เซบีย่า 0-0 เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ที่ลงพร้อมกันยังไม่เสียประตูในเกมถล่ม คริสตัล พาเลซ 4-0 ​ด้วย

    ในเกมลีกล่าสุดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ซูม่า ได้ลงจับคู่กับ คริสเตนเซ่น แต่พวกเขาเสียถึง 3 ประตู นั่นเป็นเหตุผลมากขึ้นว่าทำไม ซิลวา ควรออกสตาร์ทตัวจริงพร้อมกับ ซูม่า ในคืนนี้

5.ผีข่มที่โอลด์แทรฟฟอร์ด

    ในยุคพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1992-93 หากนับรวมทุกรายการ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี เป็นทีมที่เจอกันมากที่สุดแล้ว โดยคืนนี้จะเป็นการเจอกันครั้งที่ 82

    ช่วงหลังมานี้ เชลซี มีสถิติในการเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ดีเท่าไหร่หลังไม่ชนะเลยใน 7 เกมลีกหลังสุด (เสมอ 4 แพ้ 3) ซึ่งนี่ถือเป็นการไร้ชัยที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไม่ชนะ 16 เกมติดต่อกันช่วงระหว่างปี 1920-1957

    อย่างไรก็ตามฤดูกาลนี้ “ผีแดง” ลงเล่นในบ้านมา 2 นัดจบลงด้วยความพ่ายแพ้ทั้งสิ้น มีแค่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้คาบ้านสามเกมแรกในลีกนั่นคือฤดูกาล 1930-31 นอกจากนี้ครั้งสุดท้ายที่ “ผีแดง” แพ้คา โอลด์ แทรฟฟอร์ด 3 นัดต่อกันในลีกต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1979

เลวานคัมแบ็ก! บาเยิร์นชุดใหญ่ยกทัพลุยบีเลเฟลด์เล็งขึ้นฝูง

"เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค เพิ่งลุยภารกิจบอลถ้วยมา เกมนี้กลับมาสู่เส้นทางป้องกันแชมป์ลีก จัด โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยืนหอกนำบุกถิ่น บีเลเฟลด์ น้องใหม่ที่ผลงานไม่แน่นอน ในการแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน คืนวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563

ปรีวิวบุนเดสลีกา เยอรมัน
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563
บีเลเฟลด์ (10) – บาเยิร์น มิวนิค (4)
เวลา : 23.30 น.
สนาม : ชูโก้ อารีน่า

น้องใหม่ บีเลเฟลด์ ของเทรนเนอร์ อูเว่ นอยเฮาส์ ที่ขึ้นชั้นฐานะแชมป์ลีกา 2 ผลงานล่าสุดในลีกสูงสุด บุกเสมอ แฟร้งเฟิร์ต 1-1 ชนะโคโลญจน์ 1-0 แพ้เบรเมน 0-1

สภาพทีมชวดใช้งาน นาธาน เด เมดิน่า (เข่า) และ อันเดรียส โฟกล์ชามเมอร์ (กระดูกเท้า) ทั้งคู่ ส่วน อาร์เน่ ไมเออร์ ที่ยืมมาจากแฮร์ธ่า เบอร์ลิน ต้องรอเช็กความฟิต โดยการจัดทัพยึดระบบ 4-3-3 ต่อไป แดนกลางให้ ริคสึ โดอัน ปั้นเกมร่วมกับ มาร์เชล ฮาร์เพิ่ล สามประสานแนวรุกจัด เซบิโอ ซูกู ฟาเบียน โคลส และ เซร์คิโอ คอร์โดบา คอยเข้าทำประตู

ด้านทัพ "เสือใต้" ของ ฮันซี่ ฟลิค ที่สร้างความยิ่งใหญ่ผงาดคว้า 5 แชมป์แบบฤดูกาลเดียว เพิ่งอัดชนะ ดือเรน 3-0 ศึกเดเอฟเบ โพคาล รอบแรก เมื่อวันพฤหัส สภาพทีมแข้งที่ยังชวดใช้งานคือ ด็องกี่ย์ เนียงซู (กล้ามเนื้อ) กับ ลีรอย ซาเน่ (เข่า) ทั้งคู่

ฟลิคจะกลับมาใช้แข้งชุดใหญ่เต็มสูบ คู่เซ็นเตอร์ใช้ ดาวิด อลาบา ยืนคู่ นิคลาส ซือเล่ แนวรุกสามประสาน โธผมัส มุลเลอร์ เลออน โกเร็ทซ์ก้า คอยปั้นเกม และมี แซร์จ นาบรี้ กับ คิงส์เล่ย์ โกมัน คอยลากเลื้อย แดนหน้า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ประจำการ

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

บีเลเฟลด์ (4-1-2-3): สเตฟาน ออร์เตก้า,เซดริก บรุนเนอร์,มิเค่ ฟาน เดอร์ ฮอร์น,อามอส พีเพอร์,อันเดอร์ลสัน ลูโคกี,มาร์เชล ฮาร์เพิ่ล,ริคสึ โดอัน,เซบิโอ ซูกู ,ฟาเบียน โคลส,เซร์คิโอ คอร์โดบา

บาเยิร์น มิวนิค (4-2-3-1): มานูเอล นอยเออร์,เบนฌาแม็ง ปาวาร์,นิคลาส ซือเล่,ดาวิด อลาบา,ลูกัส แอร์กน็องเดซ,โกร็องแต็ง โตลิสโซ่,โยชัว คิมมิช,แซร์จ นาบรี้,เลออน โกเร็ทซ์ก้า,คิงส์เล่ย์ โกมัน,โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

เรอัลมาดริดช็อกโดน0-3ครึ่งแรก! VARริบทดเจ็บ-ไล่ไม่ทันพ่ายชัคตาห์คารัง

"ราชันชุดขาว" แชมป์ 13 สมัยรายการนี้ประเดิมพ่ายตั้งแต่นัดแรกคาถิ่นตัวเอง หลังเล่นผิดฟอร์มตามหลัง ชัคตาร์ โดเนตส์ค ในช่วง 45 นาทีแรกถึง 0-3 แม้ครึ่งหลัง ลูก้า โมดริช และวินิซิอุส จูเนียร์ จะยิงไล่มาแต่ไม่ทันจบเกมพ่ายให้ทีมดังจากยูเครน 2-3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อคืนวันพุธที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา

สนาม : เอสตาดิโอ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่

    เรอัล มาดริด อดีตแชมป์รายการนี้ 13 สมัย ประเดิมนัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการรับมือ ชัคตาร์ โดเนตส์ค ทีมแกร่งจากยูเครน

     ซีเนดีน ซีดาน เกมนี้ไร้ตัวหลักทั้ง เซร์คิโอ้ รามอส, ดานี่ การ์บาฆาล, เอแด็น อาซาร์ ขณะที่คาริม เบนเซม่า และโทนี่ โครส ออกสตาร์ทเป็นแค่สำรอง แนวรุกเกมนี้ใช้ ลูก้า โยวิช ล่าตาข่ายร่วมกับ โรดรีโก้ และมาร์โก อาเซนซิโอ ส่วนทางฝั่ง ชัคตาร์ โด
เนตส์ค ทิ้ง เดนตินโญ่ หัวหอกบราซิเลี่ยนเป็นหน้าเป้า โดยมีตัวสนับสนุนอย่าง เตเต้, มาร์ลอส และ มาร์กอส อันโตนิโอ

    เริ่มเกมมาแค่ 4 นาที เจ้าถิ่นชุดขาวได้ทักทายก่อนหลัง มาร์โก อาเซนซิโอ ซัดไปติดบล็อคแนวรับชัคตาร์ฯ ก่อนจะหวดด้วยซ้ายมุมแคบอีกทีแต่ก็ยังไม่ผ่านมือ อนาโตลี ทรูบิน

    นาที 14 ชัคตาร์ โดเนตส์ค ทิ้งโอกาสทองขึ้นนำหลัง มาร์ลอส กระชากบอลหลุดเดี่ยวไปดวลกับ ติโบต์ กูร์กตัวส์ แต่ดันยิงไม่ดีไปติดมือของนายด่านชาวเบลเยียม

    กระนั้นทีมดังจาก ยูเครน มาพังตาข่ายขึ้นนำ 1-0 จนได้ในนาที 29 จากความยอดเยี่ยมของ วิคตอร์ คอร์นิเลนโก้ แบ็กซ้ายที่ตะลุยเดี่ยวตัดเข้ากลางแหวกแนวรับ "ชุดขาว" ก่อนจะจิ้มบอลในเขตโทษให้ เตเต้ วิ่งมาซัดเลียดหนีมือ กูร์กตัวส์ เสียบมุมเข้าไป

    อีก 4 นาทีถัดมา แนวรับของเจ้าบ้านมาพลาดอีก หลังโดนเม็ดที่สอง จากจังหวะที่ ติเต้ ลากตัดเข้าหน้ากรอบแล้วตะบันด้วยซ้ายเต็มข้อบอลพุ่งแรงจน ติโบต์ กูร์กตัวส์ ต้องทุบบอล ทว่า ราฟาแอล วาราน พยายามพุ่งไปสกัดบอลออกหลัง ดันจิ้มผิดเหลี่ยมกลายเป็นทำเข้าประตูตัวเองไป ส่งให้ ชัคตาร์ โดเนตส์ค บุกมานำ 2-0

    นาที 36 เป็นโอกาสของเจ้าบ้านบ้าง ลูก้า โมดริช ตักบอลยาวมาในกรอบให้ ลูก้า โยวิช ขึ้นโขกแต่ดาวยิงชาวเซอร์เบียดันโหม่งไปชนแขนตัวเองก่อนไปเข้ามือของ ทรูบิน

    นาที 41 แนวรับเจ้าบ้านมาพลาดอย่างเหลือเชื่อ เมื่อมาเสียประตูที่สามให้ ชัคตาร์ฯ บุกไปนำโด่ง 3-0 จาก ติเต้ คนเดิมที่มีส่วนร่วมกับประตูอีกแล้ว คราวนี้ปีกตัวเก่งกระชากเข้ามาก่อนจะดีดตอกส้นให้ เมเนอร์ โซโลม่อน หลุดเข้าไปซัดบริเวณจุดโทษก่อนยิงผ่านตัว กูร์กตัวส์ เข้าไปไม่พลาด

    จบครึ่งแรก เรอัล มาดริด ตามหลัง ชัคตาร์ โดเนตส์ค 0-3 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี นับแต่ปี 2005 ที่พบกับ ลียง ในเกมชปล. ที่เสียสามประตูในครึ่งแรก และเป็นหนแรกในฐานะบ้านตัวเอง (เกมนี้ไม่ได้เล่นที่ เบร์นาเบว)* ที่เสียถึงสามเม็ดนับแต่ปี 2000 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่พบกับ บาเยิร์น มิวนิค

    ครึ่งหลัง ซีดาน เปลี่ยนเอา คาริม เบนเซม่า ลงมาเล่นแทน โรดรี้โก้ และนาที 54 เรอัล มาดริด มาได้ประตูไล่มา 1-3 จากจังหวะที่ มาร์เชโล่ จ่ายเข้ากลางให้ ลูก้า โมดริช แตะบอลหลบแข้งชัคตาห์ฯ 2 รายก่อนตะบันด้วยขวากว่า 30 หลา กลางประตูบอลพุ่งแรงติดไซด์ก้อยเสียบมุมตาข่ายชนิดงามหยดย้อย

    นาที 59 บอสใหญ่ราชัน เปลี่ยนตัวคนที่สองถอดเอา ลูก้า โยวิช ออกแล้วส่ง วินิซิอุส จูเนียร์ ลงไปเล่นแทน และแค่ไม่กี่วินาที วินิซิอุส ก็แผลงฤทธิ์หลังสัมพัสบอลแรกไปแย่งจากเท้าแนวรับทีมเยือนก่อนลากเข้าไปซัลโวผ่านมือ อนาโตลี ทรูบิน เรอัลมาดริด ไล่มาเป็น 2-3

    กระนั้นแนวรุกของ ชัคตาห์ ก็เกือบได้ลุ้นเม็ดที่ 4 เช่นกัน หลัง นาที 64 เตเต้ ที่เล่นได้โดดเด่นหลุดเข้าไปซัดด้วยซ้ายแต่ยังดีไปติดตัวของ ติโบต์ กูร์กตัวส์

    นาที 80 ทีมเยือนพลาดโอกาสได้ประตูที่ 4 หลัง เตเต้ ส่งบอลเข้าก้นตาข่ายไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน

    ช่วงทดเจ็บ นาที 90+2 เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ส่งบอลเข้าก้นตาข่ายไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินหลังเช็กกับ VAR ริบสกอร์ไม่ให้ประตูตีเสมอกับเจ้าถิ่น หลัง วินิซิอุส จูเนียร์ ที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปมีส่วนร่วมกับประตู ทำให้สกอร์ยังเป็น 2-3 เหมือนเดิม

    ก่อนผู้ตัดสินจะเป่าจบเกม  เรอัล มาดริด แพ้คาบ้านให้ ชัคตาร์ โดเนตส์ค 2-3 ส่งผลให้ประเดิมพ่ายเกมแรก แชมเปี้ยนส์ ลีก และกลายเป็นแพ้คารังสองเกมติดต่อกัน หลังเพิ่งจะแพ้ให้น้องใหม่ลาลีกา อย่าง กาดิซ ในลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

        เรอัล มาดริด (4-3-3) : ติโบต์ กูร์กตัวส์ – แฟร์กล็องด์ เมนดี้, เอแดร์ มิลิเตา, ราฟาแอล วาราน, มาร์เชโล่ – เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้, คาเซมีโร่, ลูก้า โมดริช – มาร์โก อาเซนซิโอ, ลูก้า โยวิช, โรดรีโก้

    ผู้จัดการทีม : ซีเนดีน ซีดาน

        ชัคตาร์ โดเนตส์ค (4-1-4-1) : อนาโตลี ทรูบิน – โดโด้, ดาวิต โคโชลาว่า, วาเลอรี่ บอนดาร์, วิคตอร์ คอร์นิเลนโก้ – มายค่อน – อลัน พาทริค – มาเตอุส เตเต้, มาร์ลอส, มาร์กอส อันโตนิโอ, เมเนอร์ โซโลม่อน –  เดนตินโญ่

    ผู้จัดการทีม : ลูอีส คาสโตร

    ผู้ตัดสิน : เซอร์ดาน โยวาโนวิช (เซอร์เบีย)

อัดอั้นมานาน!ชไนเดอร์ลินจวกฟานกัลยับเยิน

หลังจากกลั้นความรู้สึกมานานหลายปี ล่าสุด มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน ก็ออกมาจวก หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือที่ร่วมงานกันตอนอยู่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบยับเยิน โดยบอกว่าอีกฝ่ายจำกัดกรอบการเล่นมากเกินไปจนทำให้นักเตะไม่มีอิสระในการเล่น แถมยังเข้มงวดเกินกว่าเหตุ พร้อมรับ ตอนนั้นน่าจะไปอยู่กับ สเปอร์ส น่าจะเหมาะกว่า
   
มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน มิดฟิลด์ นีซ สโมสรในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส ตำหนิ หลุยส์ ฟาน กัล ว่าทำทีมโดยที่ใช้มาตรการเข้มงวดกับเรื่องต่างๆ มากเกินไป อย่างเช่นการจำกัดรูปแบบการเล่น จนส่งผลให้ตนกับคนอื่นๆ ในทีมไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ตามไปด้วย

ตอนช่วงซัมเมอร์ ปี 2015 ชไนเดอร์ลิน ตกเป็นข่าวกับหลายทีม อย่างเช่น แมนฯ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นต้น หลังจากช่วงนั้นเขาทำผลงานได้โดดเด่นกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนที่สุดท้ายเจ้าตัวจะเลือก "ปีศาจแดง" แต่เขาก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งกับที่นั่นได้จนโดนปล่อยไปให้ เอฟเวอร์ตัน ในเดือนมกราคม ปี 2017

ดาวเตะชาวฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อดังว่า "เราโดนสั่งว่า -เมื่อไหร่ก็ตามที่แกได้จับบอลน่ะ แกต้องทำอย่างนี้นะ- ทั้งที่ผมควรจะได้เล่นด้วยความกล้าของผมเหมือนอย่างที่ทำได้ตอนเล่นให้ (เมาริซิโอ) โปเช็ตติโน่ และ (โรนัลด์) คูมัน (ชไนเดอร์ลิน เคยร่วมงานกับทั้งคู่ที่ เซาธ์แฮมป์ตัน) สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของนักฟุตบอลก็คือเมื่อมันเกิดเวลาที่คุณคิดมากเกินไป ผมเริ่มคิดว่า -อา ผู้จัดการทีมอยากให้ฉันทำอย่างนี้- ซั่งนั่นทำให้คุณเสียสัญชาตญาณของตัวเอง คุณจะเริ่มถูกบีบให้ต้องทำบางอย่างจนสุดท้ายก็จ่ายพลาด, เข้าสกัดช้าเกินไป ฯลฯ มันทำให้ความมั่นใจของคุณหายไป"

"มันทำให้ผมมีทั้งเกมที่เล่นได้ดีมากๆ แล้วก็เกมที่เล่นได้ห่วยแตกสุดๆ ตอนนั้นผมไม่มีความมั่นใจมากนัก ผมถึงขั้นเริ่มบ่นกับภรรยาของผมด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถเล่นอย่างมีอิสระที่ ยูไนเต็ด ได้ ไอ้เรื่องความกดดันจากสถานะของสโมสรน่ะมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลย ผมชอบรับมือกับความกดดันอยู่แล้ว ผมอยากเจอกับความกดดันและอยากมีอะดรีนาลีนที่ดี ส่วนแฟนบอลก็ปฏิบัติกับผมดีมากๆ ตอนที่เจอกันบนท้องถนน"

"ปัญหามันมาจากตัวผมเอง เพราะผมรู้ว่าผมสามารถทำหลายอย่างให้กับทีมได้ แต่กลับทำไม่สำเร็จเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองโดนจำกัดให้อยู่ในกรอบมากเกินไป ตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกโมโหมากนัก แต่สมัยนั้นผมโกรธสุดๆ คุณไม่สามารถกินข้าวได้เลยจนกว่าผู้จัดการทีมจะอนุญาตให้คุณทำอย่างนั้นได้ จริงอยู่ว่าแนวทางแบบนี้มันได้ผลดีกับนักเตะทีอายุ 19 และ 20 ปี แต่ไม่ใช่กับนักเตะที่อายุเยอะกว่านั้น แน่นอนว่า ฟาน กัล พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นกุนซือชั้นยอด แต่ผมไม่คิดว่าเราควรจะต้องมีไอเดียแบบนั้นในตอนนั้น"

ชไนเดอร์ลิน ยอมรับด้วยว่าที่จริงตอนนั้นตนน่าจะย้ายไปอยู่กับ สเปอร์ส ดีกว่า โดยตอนนั้น โปเช็ตติโน่ ที่เคยร่วมงานกับเขาที่ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็เป็นกุนซือของ "ไก่เดือยทอง" อยู่พอดีด้วย "มี 2 ทีมที่ติดต่อหาเอเยนต์ของผม แต่พอ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจในตัวคุณแล้วน่ะ คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นหรอก เพราะว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เรอัล มาดริด คือ 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก คุณไม่สามารถปฏิเสธ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ แต่ถ้าผมทำตามหัวใจของตัวเองแล้วล่ะก็ ผมก็น่าจะเซ็นสัญญากับ สเปอร์ส ดีกว่า"

"ผมรู้จักผู้จัดการทีม (โปเช็ตติโน่) เป็นอย่างดี ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม และรู้ว่าสไตล์การนำซ้อมของเขาเป็นยังไง เขาติดต่อมาขอให้ผมไปเล่นที่ สเปอร์ส เขาอยากได้ผมไปร่วมทีมแบบจริงจังระดับ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม จริงอยู่ว่าเขา (ฟาน กัล) อยากได้ผมเหมือนกัน แต่เราแค่คุยทางโทรศัพท์กันนิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นมันก็เหมือนกับว่าผมเซ็นสัญญาเพื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะสโมสรฟุตบอลมากกว่าการเซ็นสัญญาเพื่อผู้จัดการทีม"

 

เหมาะสมแล้ว!เฮนโด้เผยโหวตเดอบรอยน์ยอดเยี่ยมพีเอฟเอ

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ระบุ ตนเลือกให้ เควิน เดอ บรอยนต์ เป็นเจ้าของรางวัลแข้งยอดเยี่ยมของ พีเอฟเอ ซีซั่นก่อน พร้อมบอกว่า เดอ บรอยน์ สมควรได้รับรางวัลนั้น

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กองกลางกัปตันทีม ลิเวอร์พูล เปิดเผยว่าตนโหวตให้ เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2019-20 ไปครอง แม้ว่ามันจะส่งผลกับโอกาสการได้รางวัลของตัวเองก็ตาม

ซีซั่นก่อน เฮนเดอร์สัน ทำผลงานได้โดดเด่นอย่างมากจนมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกไปครองเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ซึ่งมันก็ทำให้บางคนเชื่อว่าเขาสมควรได้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของ พีเอฟเอ แต่ฤดูกาลที่แล้ว เดอ บรอยน์ ก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมสุดๆ เช่นกัน และสุดท้ายก็เป็นดาวเตะชาวเบลเยียมที่ได้รางวัลนั้นไปครอง

เฮนเดอร์สัน เผยว่า "ผมโหวตให้ เควิน ได้รางวัล พีเอฟเอ ต่อให้ผมจะพูดชมเขาในฐานะนักเตะมากแค่ไหนมันก็พูดไม่หมดหรอก เขาสมควรได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ ผมคิดว่าฤดูกาลที่แล้วเขาทำผลงานได้ยอดเดยี่ยม แต่ที่จริงเขาก็เล่นได้โดดเด่นมานานแล้วล่ะนะ เขาเป็นนักเตะระดับโลก เขาอาจจะเป็นกองกลางที่เก่งที่สุดในโลกด้วยซ้ำ ผมรู้สึกว่าเขาทำได้ดีมากทั้งเรื่องในสนามและนอกสนาม ผมเป็นแฟนตัวยงของเขาเลยล่ะ"

ทั้งนี้ กฎการโหวตของ พีเอฟเอ ก็คือห้ามนักเตะคนใดคนหนึ่งโหวตให้ตัวเอง และห้ามทำการโหวตให้เพื่อนร่วมทีมด้วย

 

    

แรชฟอร์ดสุดปลื้มได้รับเครื่องราชฯชั้นเอ็มบีอี

มาร์คัส แรชฟอร์ด หัวหอก แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นเอ็มบีอีจากการที่ช่วยให้เด็กๆ ยังมีอาหารกินในช่วงที่ผ่านมา เจ้าตัวเปิดอก สุดปลื้มที่ได้รับเกียรตินี้ พร้อมบอกว่าจะสู้เพื่อเหล่าหนูน้อยต่อไป

มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันวิเศษยิ่งแห่งจักรวรรดิบริติชชั้นเอ็มบีอี จากการที่เขาช่วยเหลือเด็กๆ ในสหราชอาณาจักรในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ตลอดช่วงที่ผ่านมา แรชฟอร์ด ช่วยระดมทุนเพื่อนำอาหารไปบริจาคให้กับเด็กๆ ตามพื้นที่ต่างๆ แถมเขายังเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนใจเรื่องยกเลิกการแจกคูปองสำหรับการแลกอาหารฟรีด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเด็กๆ หลายคนก็อาจจะต้องหิวโหย ซึ่งการเรียกร้องของเขาก็กลายเป็นกระแสดังในสหราชอาณาจักรจนสุดท้ายรัฐบาลก็ยอมเปลี่ยนใจ

การกระทำของ แรชฟอร์ด ทำให้หลายคนชื่นชมเขาอย่างมาก และล่าสุดแข้งดีกรีทีมชาติอังกฤษก็ถึงขั้นได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น เอ็มบีอี ซึ่งเจ้าตัวก็เผยว่ารู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่แบบนี้

ดาวเตะวัย 22 ปีกล่าวว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งอย่างมกา ในฐานะเด็กหนุ่มผิวสีจากย่านไวเธ่นชอว์แล้วนั้น ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้รับราชอิสริยาภรณ์ชั้น เอ็มบีอี ยิ่งการได้อย่างนั้นในวัยเพียง 22 ปียิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย นี่เป็นช่วงเวลาที่พิเศษมากๆ ทั้งสำหรับผมและสำหรับครอบครัวของผม แต่ถ้าพูดกันจริงๆ แล้วมันถือเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับคุณแม่ของผมมากที่สุด เพราะที่จริงท่านคือคนที่สมควรได้รับเกียรตินี้"

"การต่อสู้เพื่อปกป้องเด็กๆ ที่มีค่ามากที่สุดของเรายังไม่จบ มันคงเหมือนกับว่าผมทรยศสังคมของผมและบรรดาครอบครัวที่ผมเคยได้คุยด้วยถ้าหากผมไม่ใช้โอกาสนี้ในการเรียกร้องให้ท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนเสนอให้ผมได้รับยศนี้นั้น ให้ความช่วยเหลือเด็กๆ ของเราด้วยการยืดระยะเวลาการแจกคูปองในช่วงครึ่งเดือนตุลาคม เพราะมาตรการของการพักงานมันสิ้นสุดลงแล้ว และตอนนี้มันก็มีคนว่างงานเพิ่มขึ้น แน่นอนว่ามันจะเป็นเพียงการแก้ปัญหาแบบชั่วคราวอีกครั้ง แต่มันก็จะทำให้ผู้ปกครองของเด็กหลายล้านคนในสหราชอาณาจักรมีเรื่องกังวลน้อยลง 1 เรื่อง"

"มารวมพลังกันเพื่อทำให้เด็กๆ ไม่ต้องเข้านอนโดยที่หิวโหยกันดีกว่า อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่หลายครั้งก่อนหน้านี้นั่นแหละว่าไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไงหรือคิดแบบไหน แต่การไม่ได้สิทธิ์ด้านอาหารก็ไม่เคยเป็นความผิดของเด็กเลย"

หล่อเลย! “ธนวัฒน์” ดาวรุ่งไทยซัดเปิดซิงเม็ดแรกให้ เลสเตอร์ ได้แล้ว

"เจ้ากัน" ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ดาวรุ่งไทยยิงประตูแรกให้ "จิ้งจอกสยาม" ได้แล้วหลังลงมาเป็นสำรองซัดตีไข่แตก ทว่าเกมนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ ยู-23 สุดต้านบุกไปพ่ายให้ ฮาโรเกท ทาวน์ 1-3 ในเกม อีเอฟแอล โทรฟี่ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา
   
ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ดาวรุ่งแข้งไทยวัย 20 ปี ซีซั่นนี้เพิ่งย้ายมาร่วมทัพ เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมดังพรีเมียร์ลีกที่มีเจ้าของเป็นคนไทย โดยเซ็นสัญญาเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งเจ้าตัวถูกจัดให้อยู่ในทีมชุด ยู-23

    สำหรับเกมเมื่อคืนวันอังคารที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมานั้น "เจ้ากัน" ยังมีชื่อเดินทางไปกับแข้ง "ยังฟ็อกซ์" ในเกมบุกไปเยือนถิ่น คีพโมท สเตเดี้ยม เพื่อลงบู๊กับเจ้าถิ่น ฮาโรเกท ทาวน์ ในเกมที่สองของศึก อีเอฟแอล โทรฟี่ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช หลังเกมแรกนั้น เลสเตอร์ บุกไปเฉือนเอาชนะ ฮัลล์ ซิตี้ 2-1 มาได้

    โดย ธนวัฒน์ ยังคงต้องรอโอกาสลงเป็น 11 แข้งตัวจริงต่อไป หลังมีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง ซึ่งเป็นแมตช์ที่ 3 แล้ว หลังนัดแรกในลีกพรีเมียร์บีก 2 ดิวิชั่น 1 ได้ลงในฐานะตัวสำรองเกมบุกพ่าย แบล็คเบิร์น 0-4 ก่อนที่เกมล่าสุดที่บุกแพ้ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ 1-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เจ้าตัวจะไม่ได้รับโอกาสเปลี่ยนลงสนามเลย

    ครึ่งแรก สถานการณ์ของ เลสเตอร์ ซิตี้ ค่อนข้างเลวร้ายหลังเจอเกมรุกของเจ้าถิ่นเล่นงานก่อนจะมีสกอร์ตามหลัง 0-2 กระนั้น "จิ้งจอก" แก้เกมก่อนจบครึ่งแรกด้วยการส่ง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ลงเป็นสำรองคนแรก

    ในครึ่งหลัง เจ้าถิ่น ฮาโรเกท มาพังประตูหนีห่างเป็น 3-0 ไปอีก แต่ก่อนจบการแข่งขัน ในนาที 84  "เจ้ากัน" ธนวัฒน์ มายิงประตูแรกให้ต้นสังกัดได้สำเร็จ หลังซัดตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 แต่ไล่ไม่ทัน จบการแข่งขัน เลสเตอร์ ซิตี้ ยู-23 บุกแพ้ ฮาโรเกท 1-3