ซลาตันโวลั่นถ้าอายุ20คงซัดไป4ลูกแล้ว

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หัวหอก เอซี มิลาน ระบุ วันนี้ตนคงจะยิงได้ถึง 4 ประตูถ้าหากมีอายุ 20 ปี หลังล่าสุดทำ 2 ลูกในเกมที่ "รอสโซเนรี่" ทุบ โบโลญญ่า 2-0 พร้อมบอกว่าเกมนี้ฟอร์มของ มิลาน ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าคนดังของ เอซี มิลาน กล่าวว่าถ้าตนอายุสัก 20 ปีแล้วนั้น ตนก็น่าจะทำประตูได้ถึง 4 ลูกด้วยซ้ำ หลังจากล่าสุดเหมาคนเดียว 2 ประตูจนช่วยให้ต้นสังกัดเปิดรัง ซาน ซิโร่ เอาชนะ โบโลญญ่า 2-0 ในเกม กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อวันจันทร์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา

อิบราฮิโมวิช ทำประตูแรกให้มิลานในนาทีที่ 35 ก่อนที่ดาวยิงวัย 38 ปีจะมายิงลูกจุดโทษตอกฝาโลงฝังทีมเยือนในนาทีที่ 51 โดยในช่วง 2 นาทีสุดท้าย โบโลญญ่า เหลือผู้เล่น 10 คนด้วยจากการที่ มิตเชลล์ ไดจ์ส โดนใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม

อิบราฮิโมวิช เผยว่า "ผมสบายดี ผมกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง นี่เป็นเพียงการลงเล่นเกมอย่างเป็นทางการนัดที่ 2 เท่านั้น วันนี้เราชนะ แต่ที่จริงผมมีโอกาสทำประตูได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าวันนี้ผมอายุสัก 20 ปีแล้วล่ะก็ ผมก็น่าจะยิงเพิ่มได้อีก 2 ลูกไปแล้ว ผมก็เหมือน เบนจามิน บัตตัน (ตัวละครในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button ที่มีอายุสวนทางกับคนปกติ) นั่นแหละ ผมแก่มาตั้งแต่เกิดและตายในสภาพที่เป็นคนอายุน้อย"

 "ฟอร์มของเรายังไม่ถึงขั้นว่าดีแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม เรายังทำพลาดในบางครั้งทั้งที่ถ้าเป็นปกติแล้วเราจะไม่พลาดแบบนั้น วันนี้สิ่งที่สำคัญคือการเก็บชัยชนะให้ได้ตั้งแต่นัดแรก (ในลีก) และการออกสตาร์ตให้ดี เป้าหมายของเราคือการทำผลงานให้ดีกว่าเมื่อฤดูกาลก่อน บรรดานักเตะเยาวชนทำผลงานกันได้ดี พวกเขาทำงานอย่างหนัก, ฟังคนอื่น, มีวินัย, รู้ว่าคุณต้องยอมเจ็บปวด ต้องทำงานอย่างหนักและมีสมาธิกับการทำงานทุกวัน"

"ฤดูกาลนี่เราต้องคิดกันไปแบบเกมต่อเกมและทำผลงานให้ได้ดี, เล่นอย่างมั่นใจ, เล่นให้เหมือนกับว่าทุกนัดมันเป็นนัดชิงชนะเลิษ เป้าหมายของเราคือการจบฤดูกาลด้วยการได้อันดับสูงๆ ในตารางคะแนน ผมชื่นชอบกับการที่ตัวเองมีหน้าที่ที่ต้องทำ ความกดดันที่หนักหนาสาหัสที่สุดมันมาจากตัวผมเอง ผมไม่อยากให้คนมาพูดเรื่องอายุของผม ผมอยากให้ทุกคนตัดสินผมด้วยเกณฑ์ระดับเดียวกัน ผมไม่อยากให้คนมาเห็นใจหรือชมผมเพียงเพราะผมอายุ 38 ปีหรอก"

เชลซีจัด “ซิลวา” ตัวจริงคุมหลัง “แทมมี่” หน้าซัดบาร์นสลี่ย์ ศึกคาราบาวคัพ

"สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี คาดว่าจะส่ง ติอาโก้ ซิลวา กองหลังป้ายแดงลงตัวจริงคุมแดนหลังโดยมี แทมมี่ อบราฮัม ยืนศูนย์หน้าล่าตาข่าย เกมรับการมาเยือนของ บาร์นสลี่ย์  ในศึกฟุตบอล คาราบาว คัพ รอบ 3 วันพุธที่ 23 ก.ย. ศกนี้  (เวลา : 01.45 น.)
ปรีวิวฟุตบอล คาราบาว คัพ รอบ 3
วันพุธที่ 23 กันยายน 2563 (เวลา : 01.45 น.)
เชลซี   –   บาร์นสลี่ย์

สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

    "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี พลาดท่าแพ้ ลิเวอร์พูล 0-2 ในลีกนัดล่าสุดคารัง

    นัดนี้กุนซือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ตั้งใจจะให้ วิลลี่ กาบาเยโร่ นายประตูมือเก๋าลงเฝ้าเสาแทน เกปา อาร์รีซาบาลาก้า อยู่แล้ว

    ขณะที่ อันเดรียส คริสเตนเซ่น เจอใบแดงนัดล่าสุดติดแบน โดยแนวรับ พร้อมส่ง ติอาโก้ ซิลวา ปราการหลังจอมแกร่งป้ายแดงลงสนามและอาจมี  ฟิคาโย่ โทโมรี่ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก โดยจะลงช่วยเกมรับพร้อม อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เช่นเดียวกับ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ตรงริมเส้น แนวรุกเป็น แทมมี่ อบราฮัม

    ทว่าสามสมาชิกใหม่ เบน ชิลเวลล์, ฮาคิม ซิเย็ค ยังไม่ฟิตพอสำหรับการลงสนาม

    ฟาก บาร์นสลี่ย์ ผ่านฟอเรสต์ และมิดเดิ้ลสโบรช์ ในรอบก่อนหน้านี้ กำลังเจอปัญหาใหญ่ในเกมรับ เมื่อ แมดส์ อันเดอร์เซ่น กับ มิคาล เฮลิค สองเซนเตอร์โดนไล่ออกในเกมเจอเร้ดดิ้ง

    ขณะที่ แบมโบ้ ดิยาบี้ ยังติดแบบ นอกนั้นกุนซือ แกร์ฮาร์ด สตรูเบอร์ มีตัวเลือกครบในการเยือนลอนดอน หลังเปิดฤดูกาลในลีกแชมเปี้ยนชิพ ด้วยการแพ้รวดต่อ ลูตัน ทาวน์ และ เร้ดดิ้ง แถมยิงไม่ได้สักประตู

รายชื่อนักเตะที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง

    เชลซี : วิลลี่ กาบาเยโร่, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์,  ติอาโก้ ซิลวา (ฟิคาโย่ โทโมรี่), เอเมอร์สัน, จอร์จินโย่, รอสส์ บาร์คลี่ย์, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, ไค ฮาแวร์ทซ์, แทมมี่ อบราฮัม, คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย

    บาร์นสลี่ย์ : แจ็ค วอลตัน, มิชาเอล โซลเบาเออร์, อาโป ฮัลเม่, อาลี โอมาร์, คิเลียน ลูเดวิค, มาร์แซล ริตซ์ไมเออร์, อเล็กซ์ โมวัตต์, จอร์แดน วิลเลี่ยมส์, ลุค โธมัส, พาทริค ชมิดท์, โดมินิก เฟรเซอร์

    ผู้ตัดสิน : ดาร์เรน บอนด์

ชุดเล็กก็เดือดได้!เด็กแมนยู-ลิเวอร์พูลทะเลาะหนัก

เกิดความวุ่นวายในเกมที่ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีของ แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ดวลกัน เพราะแข้งของทั้ง 2 ทีมมีจังหวะเถียงกันอย่างดุเดือดจนสุดท้ายมีคนโดนไล่ออกจากสนามฝั่งละ 1 ราย โดยเกมนี้มีการทำกันถึง 8 ประตูด้ว

เกิดเหตุทะเลาะวิวาทในเกม พรีเมียร์ลีก 2 ดิวิชั่น 1 หรือเกมลีกในรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเจอกับ ลิเวอร์พูล เมื่อวันศุกร์ที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา หลังจากนักเตะของทั้ง 2 ทีมก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงจนทำให้สุดท้ายมีคนโดนใบแดงไปฝั่งละ 1 คน

ความวุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงนาทีที่ 61 ซึ่งเป็นตอนที่ ลิเวอร์พูล นำห่างไปแล้ว 5-1 โดยที่ เลห์ตัน คล้าร์กสัน แข้งดาวรุ่งของฝั่ง ลิเวอร์พูล ไปพุ่งเสียบแบบเปิดปุ่มใส่ ดิฌอน แบร์นาร์ด ดาวเตะเจ้าถิ่นในตอนที่ แบร์นาร์ด กำลังเลี้ยงบอลขึ้นไป โดยที่ แบร์นาร์ด ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไร

อย่างไรก็ตาม จังหวะดังกล่าวก็ทำให้นักเตะรุ่นเยาว์หลายคนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่พอใจจนพุ่งไปปกป้องเพื่อนร่วมทีมและตำหนิ คล้าร์กสัน แต่คนที่เดือดดาลที่สุดคือ โชล่า ชอร์ติเย่ร์ เพราะเขาถึงขั้นผลักดาวโรจน์ของ ลิเวอร์พูล อย่างรุนแรงจนอีกฝ่ายล้มลง และมันก็กลายเป็นการทำให้บรรดานักเตะของ ลิเวอร์พูล ไม่พอใจเช่นกันจนกลายเป็นว่าทั้ง 2 ทีมมีปากเสียงกันอย่างหนัก

สุดท้ายแล้วกรรมการก็ตัดสินใจไล่ คล้าร์กสัน ออกจากสนามโทษฐานสกัดรุนแรงเกินกว่าเหตุ ส่วน ชอร์ติเย่ร์ ก็โดนใบแดงเช่นกันหลังจากประพฤติตัวไม่เหมาะสม ก่อนที่สุดท้ายเกมจะจบลงด้วยการที่ทีมรุ่นเยาว์ของ ลิเวอร์พูล บุกมาชนะ 5-3 พร้อมกับนำเป็นจ่าฝูงด้วยผลงาน 6 คะแนนจากการลงเล่น 3 นัด ส่วนทีมเด็กของ แมนฯ ยูไนเต็ด ลงเล่นไป 2 นัดและแพ้ทั้งหมด

เกปาพาลงเหว! ตัดเกรดแข้งเชลซีเกมพ่ายลิเวอร์พูลคาบ้าน

เกมแรกของ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในฤดูกาลนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้หลัง "หงส์แดง" บุกมาสอยคารังสองประตู เป็นเกมที่ "สิงห์บลูส์" ตั้งรับเป็นส่วนใหญ่และกำลังไปได้สวยแต่ดันมาเหลือ 10 คนทำให้กลายเป็นงานยากขึ้นมาทันที มีหนึ่งแข้งที่ได้คะแนนแค่ 4 แต้มเท่านั้นหลังก่อความผิดพลาดจนเสียประตู มาเช็กผลสอบของนักเตะเชลซีกันที่นี่เลย

เชลซี

เกปา อาร์รีซาบาลาก้า 4

ตัดสินใจหลายอย่างผิดพลาดไปหมด ครึ่งแรกมีจังหวะที่จะออกมาตัดบอลแต่โดน ซาลาห์ ตัดหน้ายังดีที่ไม่เสียประตู แต่ครึ่งหลังต้องรับเต็มๆกับการจ่ายบอลพลาดจน มาเน่ ฉกไปยิงประตู แต่ยังพอทีเซฟสวยๆอยู่บ้างในเกมนี้

รีซ เจมส์ 5.5

ไม่ได้เติมเกมรุกเท่าไหร่นักเพราะต้องปะทะกับ มาเน่ ตลอด พอเหลือ 10 คนในครึ่งหลังยิ่งต้องเล่นเกมรับเป็นส่วนใหญ่ สุดท้ายตามประกบ มาเน่ พลาดจนโดนลงโทษเสียประตูแรก

อันเดรียส คริสเตนเซ่น 5 (ใบแดง)

มีบล็อกสำคัญคือลูกเปิดของ ซาล่าห์ ในจังหวะที่ เกปา ออกไปตัดบอลพลาด ความจริงเขาคุมเกมรับได้ดีทีเดียวจนกระทั่งมารวบ มาเน่ จนโดนใบแดง

เคิร์ต ซูม่า 6

พยายามสุดความสามารถในการป้องกันเกมบุกหงส์แดง ซ้อน อลอนโซ่ ได้ดีหลายครั้งรวมถึงเคลียร์ลูกเซ็ตพีซและลูกครอส แต่จ่ายบอลพลาดบ่อยจากการโดนผู้เล่นหงส์เพราสซิ่งในขณะที่ เชลซี พยายามสร้างเกมรุกมาจากแดนหลัง

มาร์กอส อลอนโซ่ 5.5

เป็นฝั่งที่ต้องเจองานยากอยู่แล้วกับการสู้กับ ซาลาห์ และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งก็ทำได้โอเคระดับหนึ่ง กระทั่งมาเจอลูกชิ่งหนึ่งสองของ ซาลาห์,ฟีร์มีโน่ จนเสียประตู

จอร์จินโญ่ 5

ไม่สามารถช่วยให้ทีมครองบอลแดนกลางได้ ยิ่งตอนเหลือ 10 คนและลิเวอร์พูล นำ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ลงสนามมาทำให้สู้แทบไม่ได้ พลาดจุดโทษกับเชลซีเป็นครั้งแรก

เอ็นโกโล่ ก็องเต้ 6.5

ครึ่งแรกโดดเด่นมากทั้งการไล่เพรสซิ่งมิดฟิลด์คู่แข่ง การแย่งบอล รวมถึงการพาบอลขึ้นแดนหน้า มีโอกาสทองที่จะง้างยิงในเขตโทษแต่เลือกมองหาตัวจ่าย

มาเตโอ โควาซิช 6

เป็นคนที่ไว้ใจได้ในการเก็บบอลกับตัว จ่ายบอลสวยๆให้ แวร์เนอร์ แต่ไม่ได้จบสกอร์ ทว่าด้วยการที่เชลซีปล่อยให้ หงส์แดง ครองบอลเลยทำให้มิดฟิลด์เชลซีไม่ได้ช่วยเกมรุกมากนัก

ไค ฮาแวร์ตซ์ 5

มีจังหวะจับบอลสวยๆอยู่บ้าง แต่มีส่วนร่วมกับเกมรุกน้อยมาก เป็นนักเตะเชลซีที่สัมผัสบอลน้อยที่สุดในครึ่งแรก ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงพักครึ่ง

ติโม แวร์เนอร์ 7

พยายามเลี้ยงผ่าน ฟาบินโญ่ อยู่หลายครั้งแต่ล้มเหลว มีจังหวะง้างยิงน้อยเพราะขาดการสนับสนุน แต่เป้นเรียกจุดโทษให้กับทีมในครึ่งหลัง

เมสัน เมาท์ 6

ชยันวิ่งช่วยเกมรับอยู่ตลอดโดยเฉพาะการตาม โรเบิร์ตสัน แต่เชื่อมเกมรุกกับเพื่อนร่วมทีมได้น้อยมาก

ตัวสำรองที่ลงสนาม

ฟิคาโย่ โทโมรี่ 6 (ลงมาแทน ไค ฮาแวร์ตซ์ น.46)

พยายามสุดความสามารถในป้องกันเกมรับ มีบล็อกสำคัญอยู่บ้าง

รอสส์ บาร์คลี่ย์ – (ลงมาแทน มาเตโอ โควาซิช น.79)

ลงมาท้ายเกมแล้ว

แทมมี่ อับราฮัม – (ลงมาแทน จอร์จินโญ่ น.79)

ลงมาท้ายเกมแล้ว

 

มาเน่เจ๋ง-ติอาโก้แจ่ม! ตัดเกรดแข้งลิเวอร์พูลเกมบุกเชือดเชลซี

ลิเวอร์พูล บุกมาคว้าชัยชนะที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน ผลการแข่งขันนี้ทำให้ "หงส์แดง" เก็บ 6 แต้มเต็มกับ 2 นัดแรกของฤดูกาล 2020/21 ต้องบอกว่าจุดเปลี่ยนที่สำคัญเลยคือการโดนใบแดงของ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ทำให้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บดขยี้ในครึ่งหลังจนได้ประตูตามที่ต้องการ นอกจากเรื่องชัยชนะแล้วยังมีการเดบิวต์นักเตะใหม่ของลิเวอร์พูลด้วย เรามาเช็กผลสอบแข้งลิเวอร์พูลเกมนี้กัน

ลิเวอร์พูล

อลีสซง เบ็คเกอร์ 8

ครึ่งแรกไม่ได้มีโอกาสเซฟเลยเพราะเชลซียิงไม่ตรงกรอบสักครั้ง แต่ครึ่งหลังมาโชว์เซฟจุดโทษครั้งแรกในการเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ก่อนท้ายเกมปัดลูกยิงของ แทมมี่ อบราฮัม แบบสุดยอด

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ 6.5

ผ่านบอลขวางสนามให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สุดแม่นยำ พยายามซัพพอร์ต ซาลาห์ ด้วยการจ่ายบอลให้ในพื้นที่สุดท้าย ลูกเซ็ตพีซเกมนี้ยังไม่แม่นมากนัก แต่ลงมาช่วยเกมรับไม่ทันบ้างแต่เป็นเรื่องปกติเมื่อเติมเกมสูงตลอด

ฟาบินโญ่ 8

ขยับลงมายืนเซนเตอร์แบ็กแทน โกเมส ที่บาดเจ็บแต่โชว์ฟอร์มดูดีกว่าเจ้าของตำแหน่งเสียอีก แวร์เนอร์ พยายามเลี้ยงผ่านหลายรอบแต่ติดบล็อกเขาตลอด แท็กเกิ้ลสำเร็จ 3 จาก 4 ครั้ง ตัดบอลอีก 4 ครั้ง

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ 7

ไม่ได้โดดเด่นเหมือน ฟาบินโญ่ มากนักแต่ยังคงบัญชาการเกมรับยอดเยี่ยม ไม่มีความผิดพลาดให้เห็นและก็ไม่ได้เจองานยากจากเกมรุกเชลซีเท่าไหร่

แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 7

ยังคงเติมเกมรุกเมามันส์และสร้างปัญหาให้กับเชลซีได้ตลอดทั้งเกม บทบาทมาเด่นขึ้นในช่วงครึ่งหลัง ประสานงานกับ มาเน่ ได้ดี

นาบี เกอิต้า 6

ทำได้ดีในเรื่องการพาบอลขึ้นหน้ากับต่อบอลสร้างเกมรุก แต่ ก็องเต้ และ จอร์จินโญ่ ตามบีบแดนกลางเลยทำอะไรไม่ถนัด โดยรวมยังไม่ได้โดดเด่นมากนัก

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 6

คุมเกมแดนกลางได้อยู่หมัดช่วยให้ทีมครองบอลบุกใส่ฝั่งเชลซีเป็นส่วนใหญ่ เป็นคนวางบอลยาวสุดสวยให้ มาเน่ หลุดเดี่ยวจนเรียกใบแดงได้สำเร็จ น่าเสียดายที่บาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวตอนพักครึ่ง

จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม 6

ค่อนข้างเล่นเพลย์เซฟเมื่อได้ครองบอลซึ่งบางครั้งทีมอาจจะต้องการเกมบุกมากขึ้น แต่เรื่องการยืนตำแหน่งและช่วยเกมรับในแดนกลางยังคงทำได้ดี

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 7

หลังจากเปิดตัวอย่างสวยงามด้วยการแฮตทริกเมื่อนัดที่แล้ว เกมนี้บทบาทส่วนใหญ่เน้นไปที่การพยายามวิ่งสร้างพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีม ไม่ได้มีประตูฝากแฟนเดอะ ค็อปแต่ยังมีส่วนในการชิ่งบอลกับ ฟีร์มีโน่ จนได้ประตูแรก

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ 7   

ใช้เวลาอยู่สักพักในการมีส่วนกับเกม จัดแอสซิสต์งามๆให้ มาเน่ โขกประตูขึ้นนำ เป็นฟอร์มปกติของเขาที่ไม่ได้โดดเด่นแต่คอยลงมาล้วงบอลและวิ่งเปิดพื้นที่ในแนวรับคู่แข่ง

ซาดิโอ มาเน่ 9

ค่อนข้างเงียบในเกมเจอกับ ลีดส์ แต่มาฉายแสงในเกมนี้ เป็นคนเรียกใบแดงซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของเกม ก่อนโขกประตูปลดล็อกให้กับทีมและยังโชว์ความขยันวิ่งฉกบอลจาก เกปา ทำประตูที่สอง การเคลื่อนที่ของเขาสร้างความปั่นป่วนในแนวรับคู่แข่งเหลือเกิน

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

ติอาโก้ อัลกันตาร่า 7 (ลงมาแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.46)

ประเดิมสนามอย่างรวดเร็วให้กับ “หงส์แดง” จ่ายบอลได้เนียนตา คุมจังหวะเกมสร้างความสมดุลให้แดนกลาง อย่างไรก็ตามเขาดันมาทำเสียจุดโทษแต่ยังดีที่เพื่อนร่วมทีมเซฟได้

เจมส์ มิลเนอร์ 6 (ลงมาแทน นาบี เกอิต้า น.64)

เพิ่มตัวมีประสบการณ์ให้แดนกลาง คอยสั่งเพื่อนร่วมทีมตลอด

ทาคูมิ มินามิโนะ – (ลงมาแทน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ น.86)

ลงมาท้ายเกมแล้ว

ฉาว!เนย์มาร์1ใน5แข้งใบแดงเกมปารีสปะทะมาร์กเซย (มีคลิป)

เนย์มาร์ หัวหอกแซมบ้าของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง อ้าวโดนเหยียดผิวขณะกำลังเดินออกจากสนามหลังโดนใบแดงในแมตช์สุดฉาวที่ "เปแอสเช" เปิดบ้านแพ้ โอลิมปิก มาร์กเซย 0-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเกมนี้มีใบแดงถึง 5 ใบเป็นฝั่งเจ้าบ้าน 3 ใบและทีมเยือน 2 ใบ

เนย์มาร์ กองหน้าค่าตัวแพงที่สุดในโลกชาวบราซิเลียน ของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เป็นหนึ่งในห้านักเตะที่โดนใบแดงไล่ออกในเกมสุดฉาวที่ "เปแอสเช" แพ้ "โอแอม" โอลิมปิก มาร์กเซย 0-1 ศึกลีก เอิง ฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา

แมตช์นี้ มาร์กเซย ได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 31  จากฟรีคิกกว่า 40 หลา ดิมิทรี ปาเยต์ เปิดข้ามแนวรับเข้าไปในกรอบเขตโทษ ฟลอริยอง โตแว็ง กัปตันทีมของโอแอมสอดเข้ามายิงด้วยซ้ายเสาแรกเข้าไป โดยผู้ตัดสินเช็กสัญญาณจาก "วีเออาร์" เกี่ยวกับความเป็นไปได้ว่าเป็นลูกล้ำหน้าหรือไม่ ก่อนยืนยันให้ประตูแก่ทีมเยือน

หลังจากนั้นเกมก็ออกแนวเข้มข้นและมีการกระทบกระทั่งกันตลอด จนกระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ฉาวในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เมื่อผู้เล่นทั้งสองฝ่ายเปิดฉากตะลุมบอนกันอย่างไม่เกรงใจ จนนำไปสู่การโดนใบเหลืองใบแดงปลิวว่อนเต็มสนาม

เนย์มาร์ ซึ่งโดนแดงโดยตรง หลังถูก วีเออาร์ จับได้ว่าชกที่ด้านหลักศีรษะของ อัลบาโร่ กอนซาเลซ ผู้เล่น มาร์กเซย เดินออกจากสนามพปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ พร้อมเขาบอกกับผู้ตัดสินที่ 4 ว่าตนตกเป็นเป้าการเหยียดสีผิว ขณะที่อันเดร วิลลาช-โบอาช เทรนเนอร์ไฟแรงชาวโปรตุกีส เผยว่าตนไม่ขอยืนยันเกี่ยวกับสิ่งที่ สตาร์ลูกหนังเลือดแซมบ้า กล่าวอ้าง "การเหยียดผิวไม่เป็นที่ยอมรับในวงการฟุตบอล"

ขณะที่ ฟลอริยอง โตแว็ง ปีกกัปตันทีมมาร์กเซย ไม่พอใจอย่างมากกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในแมตช์นี้ "มีเด็กๆ เยอะมากที่ชมเกมในคืนนี้ เราทุกคนต้องเป็นตัวอย่าง" ด้าน เลโอนาร์โด้ ผู้อำนวยการกีฬา แซงต์-แชร์กแมง ออกโรงตำหนิผู้ตัดสินในเกมนี้ว่า "ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแมตช์แบบนี้ถึงใช้ผู้ตัดสินคนนี้ (เฌโรม บรีซาร์) เขาไม่มีประสบการณ์ แค่เคยตัดสินเกมยูโรปา ลีก แมตช์เดียว"

ไม่ขอโทษ!เนย์มาร์ลั่นอยากชกหน้าแข้งเหยียดผิว

เนย์มาร์ ดาวเตะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไม่คิดที่จะขอโทษกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น โดยบอกว่าอยากอัดหน้า อัลบาโร่ กอนซาเลซ ด้วยซ้ำ พร้อมยืนกรานว่าโดนแข้ง มาร์กเซย เหยียดผิวจริงๆ

เนย์มาร์ กองหน้าคนดังของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กล่าวว่าที่จริงตนอยากชกหน้า อัลบาโร่ กอนซาเลซ ปราการหลัง โอลิมปิก มาร์กเซย ด้วยซ้ำ หลังจากที่ เนย์มาร์ กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเหยียดผิวตนระหว่างเกม ลีก เอิง ฝรั่งเศส นัด เลอ คลาสสิก ที่ทัพ "เปแอสเช" แพ้ "โอแอ็ม" 0-1 คารัง ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา

นัดดังกล่าวได้รับการจับตามองจากหลายฝ่ายเพราะมันถือเป็นเกมใหญ่ของลีกแดนน้ำหอม แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของเกมนี้คือเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลัง โดยที่มีนักเตะโดนไล่ออกจากสนามถึง 5 คน แบ่งเป็น 2 คนของ มาร์กเซย และของ ปารีสฯ 3 ราย

สำหรับ เนย์มาร์ นั้น เป็นหนึ่งในนักเตะของเจ้าถิ่นที่โดนไล่ออก โดยตอนแรกเขาไปตบด้านหลังศีรษะ อัลบาเรซ ที่ตอนนั้นกำลังมีปากเสียงกับ เลอันโดร ปาเรเดส เพื่อนร่วมทีมของ เนย์มาร์ จนทำให้แข้งชาวสแปนิชโมโหสุดๆ และหันมาพูดบางอย่างกับอดีตแข้ง บาร์เซโลน่า ด้วยความเดือดดาล ซึ่งดาวเตะทีมชาติบราซิลก็ตวาดกลับไปเช่นกัน

ที่จริงตอนแรกกรรมการไม่เห็นชอตที่ เนย์มาร์ ตบหัวอีกฝ่าย แต่พอมาเช็กกับกล้องข้างสนามและทีมงานวีเออาร์แล้วนั้นเชิ้ตดำก็ชักใบแดงไล่ เนย์มาร์ ทันที ซึ่งในตอนที่เดินออกจากสนาม เนย์มาร์ ก็ไปบอกกับหนึ่งในทีมงานผู้ตัดสินว่าเขาโดน กอนซาเลซ เหยียดผิวใส่

ทั้งนี้ หลังจากจบเกมไปแล้วนั้น เนย์มาร์ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขอโทษอีกฝ่าย โดยกล่าวบน ทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังว่า "สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเสียใจคือการไม่ได้ชกหน้าไอ้เวรตะไลนั่น"

นอกจากนี้ เนย์มาร์ ยังโพสต์เพิ่มด้วยว่าเขาโดน อัลบาเรซ เหยียดผิวจริงๆ "วีเออาร์ จับจังหวะที่ผมแสดง -ความก้าวร้าว- ได้อย่างง่ายดาย เอาล่ะ ตอนนี้ผมก็อยากจะเห็นภาพที่ไอัคนเหยียดผิวเรียกผมว่า -โมโน ฮิโต้ เดอ ปูต้า" (ภาษาสเปน แปลว่าไอ้ลิงจ๋อหน้าตัวเมีย) เหมือนกัน ผมอยากเห็นชอตนั้น!"

ขณะเดียวกัน ผู้บรรยายเกมการแข่งขันของ เทเลฟุต สื่อชื่อดังของฝรั่งเศสก็บอกเช่นกันว่า กอนซาเลซ เหยียดผิว เนย์มาร์ จริงๆ โดยอ้างว่า กอนซาเลซ ใช้คำว่า "ไอ้ลิงจ๋อโสโครก" อย่างไรก็ตาม กอนซาเลซ โพสต์ทาง ทวิตเตอร์ ว่าไม่ได้เหยียดผิวอีกฝ่ายเลย โดยบอกว่า "มันไม่มีที่ว่างให้กับการเหยียผิว ผมมีอาชีพการค้าแข้งที่ใสสะอาดทุกวันร่วมกับเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนๆ หลายคน บางครั้งคุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะแพ้ และยอมรับมันในสนาม วันนี้เป็นการได้ 3 แต้มที่ยอดเยี่ยม

ตั้งสติ!เอฟเอออกกฎเปาแจกใบแดงแข้งเจตนาไอ

สมาคมลูกหนังเมืองผู้ดี ออกกฎใหม่ให้อำนาจกรรมการแจกใบแดงนักเตะที่ตั้งใจไอใส่คู่แข่งหรือผู้ตัดสิน ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงเทียบเท่าการใช้คำหยาบ หรือการทำร้ายร่างกาย โดยเป็นมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
               สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) แถลงการณ์การณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับกฎใหม่ที่ให้อำนาจผู้ตัดสินสามารถแจกใบแดงให้กับนักเตะได้ทันที หากผู้เล่นคนนั้นตั้งใจไอใส่นักเตะคู่แข่งหรือกรรมการในช่วงระหว่างที่อยู่ในการแข่งขัน

              ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ตอนนี้วงการกีฬาจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีมาตรการสำคัญเพื่อใช้ในการป้องกันไม่ว่าจะเป็นการห้ามจับมือในขณะที่อยู่ในสนาม, การเว้นระยะห่างทางสังคม รวมไปถึงการห้ามแฟนบอลเข้าชมเกมฟุตบอล เป็นต้น

              สำหรับสมาคมลูกหนังเมืองผู้ดี ได้เพิ่มความเข้มข้นของการป้องกันด้วยการออกกฎใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยหากมีการ "ไอ" ใส่ผู้อื่นในสนามไม่ว่าจะเป็นกับคู่แข่งหรือกรรมการ โดยเจตนา บุคคลนั้นมีสิทธิ์ถูกลงโทษด้วยการโดนใบแดง และต้องออกจากสนามทันที

              "หากผู้ตัดสินทราบว่ามีใครก็ตามที่ตั้งใจไอใส่หน้าคู่แข่งหรือกรรมการในระยะใกล้ ….ผู้ตัดสินสามารถใช้กฎข้อ 12 ที่ระบุเกี่ยวกับพฤติกรรมน่ารังเกียจ, ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้วาจาหรือแสดงสัญลักษณ์ที่ส่อไปในทางหยาบคาย  แต่ถ้าหากเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นไล่ออก นักเตะก็จะถูกตักเตือนเนื่องจากแสดงพฤติกรรมไม่มีน้ำใจนักกีฬา และขาดความเคารพในเกม" แถลงการณ์ เอฟเอ ระบุ

              อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ของสมาคมลูกหนังเมืองผู้ดี ได้ระบุเพิ่มเติมว่าผู้ตัดสินจะไม่ทำการลงโทษในกรณีที่นักเตะไอธรรมดา หรือการถ่มน้ำลายลงพื้นสนาม เป็นต้น แม้ว่าจะเป็นพฤติกรรมที่มีการขอความร่วมมือให้งดเว้นก็ตาม

แลมพาร์ดหัวเสียทำไมไม่ใช้วีเออาร์?!

แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือเชลซี ตั้งคำถามถึงการใช้ วีเออาร์ หลังจากที่เจ้าตัวมองว่าจังหวะที่ มาเตโอ โควาซิช โดนใบเหลืองที่สองจนถูกไล่ออกนั้น ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น

    แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมคนหนุ่มของ เชลซี ไม่พอใจที่ วีเออาร์ ไม่ถูกนำมาใช้ตัดสินในจังหวะที่ควรจะต้องใช้ ซึ่งทำให้เกิดจุดเปลี่ยนต่อทีมของตัวเอง

    "สิงห์บลูส์" เริ่มต้นได้ดี ด้วยการได้ประตูขี้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 5 จากการยิงของ คริสเตียน พูลิซิช ทว่านาทีที่ 28 อาร์เซน่อล ตามตีเสมอเป็น 1-1 จากการสังหารลูกจุดโทษเข้าไปอย่างเฉียบขาดของ ปิแอร์-เอเมอริคโอบาเมย็อง

    จากนั้นช่วงครึ่งหลัง ในนาทีที่ 67 กลายเป็น "ไอ้ปืนใหญ่" ที่ได้ประตูพลิกขึ้นนำจาก โอบาเมย็อง คนเดิมที่ยิงอย่างเหนือชั้น และสถานการณ์ของ เชลซี ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เพราะในนาทีที่ 73 พวกเขาต้องมาเหลือผู้เล่น 10 คน หลัง มาเตโอ โควาซิช โดนไล่ออก จากการได้รับใบเหลืองที่สอง และสุดท้ายจบเกมด้วยการเป็นฝ่ายปราชัย

    แลมพาร์ด ให้สัมภาษณ์กับ บีอิน สปอร์ต และตำหนิไปยังเรื่องการใช้ วีเออาร์ โดยเฉพาะจังหวะที่ โควาซิช ถูกใบเหลืองที่สอง เนื่องจากตนมองว่า จังหวะที่เข้าปะทะกับ กรานิต ชาคา นั้น ไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่

    "นี่มันกฎอะไรกัน? มันเกิดขึ้นแบบนี้ตลอดที่คุณไม่สามารถเรียกร้องใบเหลืองที่สองได้ บางคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นยืนยันความคิดของตัวเอง"

    "ถ้าเรามี วีเออาร์ มันคงเป็นเรื่องดีเลยล่ะ ที่จะนำมาใช้ให้มากที่สุดที่จะทำได้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง มันไม่ได้ใกล้เคียงเลย และมันก็เป็นจุดเปลี่ยนของเกม"

    "ช่วงท้ายเกมเรากดดันพวกเขาได้บ้าง ผมไม่สามารถมองว่าเป็นความผิดพลาดของลูกทีม แต่จังหวะนั้นไม่สมควรเป็นใบแดง พูดอีกครั้งนะ ผมพยายามกลับมามองที่เราเสมอ และเราก็ทำได้ไม่ดีพอที่จะคว้าชัยในนัดชิงฯ"

เซ่นเอ็มบั๊ปเป้! ปารีสบี้แซงต์เอเตียน10คนสุดเดือด ซิวเฟร้นช์คัพสมัย13

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ผงาดคว้าแชมป์ เฟร้นช์ คัพ สูงสุดเป็นสมัยที่ 13 หลังบดเอาชนะ แซงต์ เอเตียนที่เหลือแค่ 10 คน แบบสุดเดือด 1-0 จากประตูชัยของ เนย์มาร์ ในนัดชิงชนะเลิศ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเกมนี้ แซงต์ เอเตียนต้องเหลือ 10 คน หลัง โลอิก แปร์แร็ง กัปตันทีมโดนใบแดงจากการไปเสียบ คีลิยัน เอ็มปั๊ปเป้ จนเจ็บหนักเล่นต่อไม่ไหว ต้องลุ้นว่าจะหายทันเกมชปล.ในช่วงเดือนสิงหาคมหรือไม่?

สนาม : สต๊าด เดอ ฟร้องซ์

    ศึกเฟร้นช์ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เป็นการพบกันระหว่างแชมป์สูงสุด 12 สมัยอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง พบกับ แซงต์ เอเตียน แชมป์ 6 สมัย

    โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์ชาวเยอรมันวัย 46 ปีของเปแอสเช จัดชุดใหญ่หน้าคู่วาง เมาโร อีการ์ดี้ และคีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ล่าตาข่ายโดยมีตัวสนับสนุนชั้นยอดอย่าง เนย์มาร์ ส่วนทางฝั่ง  โคล้ด ปูแอล เทรนเนอร์ของ แซงต์ เอเตียน วาง โรแม็ง อามูม่า และเดอนีส์ บวงก้า เป็นทีเด็ด

    ออกสตาร์ทเกมครึ่งแรก ทั้งคู่เปิดเกมรุกเข้าใส่อย่างสนุก นาทีที่ 5 แซงต์ เอเตียน เกือบชิงขึ้นนำก่อนหลัง โรแม็ง อามูม่า หัวหอกตัวเก่งพาบอลตะลุยเข้าไปซัดด้วยขวาบอลผ่านมือ เกย์ลอร์ นาวาส ไปแล้วแต่ไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย

    นาที 14 โอกาสเข้าทำหนแรกของ เปแอสเช ก็ขึ้นนำ 1-0 ทันทีจากจังหวะที่ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ รับบอลชิ่งจาก ดิ มาเรีย ก่อนหลุดเข้าไปใส่ด้วยขวาติดเซฟของ เชสซี่ มูแล็ง แต่บอลไม่พ้นอันตรายไปเข้าทาง เนย์มาร์ ซ้ำด้วยซ้ายเช็ดใต้คานเข้าไปอย่างเด็ดขาด

    แซง เอเตียน หลังเสียประตู ก็อยู่ไม่ได้โหมบุกบ้างเพื่อหวังไล่ตีเสมอ นาที 16 ได้ลุ้นเช่นกัน โรแม็ง อามูม่า ไหลบอลให้ เดอนีส์ บวงก้า หลุดเข้าไปกดด้วยขวาแต่ยังไม่ผ่านมือ เกย์ลอร์ นาวาส ที่เซฟไว้ด้อย่างยอดเยี่ยม

    อีก 4 นาทีต่อมา เปแอสเช ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกหลัง ธีโล เคห์เรอร์ แบ็กขวาบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหวต้องส่ง โกแล็ง ดั๊กบา ลงเล่นแทน

    แซงต์ เอเตียน ได้ลุ้นอย่างต่อเนื่อง นาที่ 21 พลาดโอกาสไล่ตีเสมออีกหลัง อามูม่า ครอสบอลมาให้ เดอนีส์ บวงก้า เทกตัวขึ้นโขกเหน่งๆ แต่ยังไม่ผ่านมือ นาวาส อีกหน

    ทว่า "ปารีสฯ" มาแบบเน้นๆกว่า นาที 25 อังเคล ดิ มาเรีย หลุดเข้าไปซัดด้วยซ้ายบอลพุ่งไปติดมือ เชสซี่ มูแล็ง เหินปัดออกหลังอีก

    นาที 27 คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ได้บอลหลุดเข้าไปแต่โดน โลอิก แปร์แร็ง พุ่งมาตัดเข้าเสียบอย่างน่าเกลียดจน เอ็มปั๊ปเป้ ลงไปนอนกับพื้น ซึ่งเป็นชนวนให้เพื่อนร่วมทีม เปแอสเช ไม่พอวิ่งปรี่ไปหาจนเกือบมีเรื่องชุลมุ่นวุ่นวาย ซึ่งหลังเหตุการณ์สงบลงผู้ตัดสินเดินทางแจกใบเหลืองทั้ง เลอันโดร ปาเรเดส และมิทเชล บัคเคอร์ สองแข้งปารีส กับโรแม็ง อามูม่า ดาวยิงของ แซงต์ เอเตียน รวมถึงต้นเหตุอย่าง โลอิก แปร์แร็ง

    จากนั้นมีสัญญาณจาก VAR ถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็นใบแดงของ โลอิก แปร์แร็ง ซึ่งหลัง อาโมรี่ เดอเลอรู ผู้ตัดสินวิ่งไปดูมอนิเตอร์ข้างสนามได้วิ่งมากลับคำตัดสินที่ก่อนจะเอามือควักกระเป๋าหลังเปลี่ยนเป็นแจกใบแดงให้ แปร์แร็ง ในนาที 31 ทำให้แซงต์ เอเตียน เหลือแค่ 10 คน

    แถม โธมัส ทูเคิ่ล ต้องเปลี่ยนเอา คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ที่เจ็บจนเล่นไม่ไหวแล้วส่ง ปาโบล ซาราเบีย ลงเล่นแทนในนาที 34 ส่วนแซงต์ เอเตียน ต้องแก้เกมถอด  ยานน์ มาครง ตัวรุกออกแล้วส่ง ฮาโรลด์ มูคูดี้ แนวรับไปเล่นแทน

    ช่วงทดเจ็บ นาที 45+2 เปแอสเช เกือบได้เม็ดที่สองนำห่างหลังได้ฟรีคิกทางด้านขวา อังเคล ดิ มาเรีย ปั่นข้ามกำแพงจะเสียบเสาแรกอยู่แล้วแต่ เชสซี่ มูแล็ง ยังยอดเยี่ยมปัดออกหลังหวุดหวิด

    จบครึ่งแรก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ขึ้นนำ แซงต์ เอเตียน 1-0

    กลับมาบู๊กันต่อในครึ่งหลัง แซงต์ เอเตียน เป็นสองคนรวดเลยส่ง ยาน เนยู เล่นแทน มาห์ดี้ กามาร่า และส่ง วาห์บี คาซรี่ ลงเล่นแทน โรแม็ง อามูม่า

    นาที 47 วาห์บี คาซรี่ ที่เพิ่งลงมาของ แซงต์ เอเตียน ได้ลองทักทายด้วยการยิงไกลกว่า 40 หลาแต่บอลลอยโด่งหลุดเสาออกไปแบบได้เสียว

    นาที 73 เปแอสเช พลาดโอกาสได้ประตูนำห่างหลัง ดิ มาเรีย แทงบอลให้ ปาโบล ซาราเบีย หลุดเข้าไปซัดด้วยซ้ายแต่บอลก็ไม่ผ่านตัว เชสซี่ มูแล็ง

    อีก 3 นาทีถัดมา ยาน เนยู ได้ลองกดด้วยขวานอกกรอบบ้างแต่บอลก็ยังเบาไปเข้ามือ เกย์ลอร์ นาวาส รับไว้ได้ไม่ยาก

    ช่วงท้ายเกม แซงต์ เอเตียน บุกหนักเพื่อทวงประตูเสมอให้ได้ แต่บอลยังไม่ผ่านแนวรับเปแอสเชที่เล่นอย่างเหนียวแน่น จนจบเกม ผู้ตัดสินเป่าจบการแข่งขันเป็นอันว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง คว้าชัยะเหนือ แซงต์-เอเตียน  1-0 คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 13

    รายชื่อ11ผู้เล่นทั้งสองทีม   

        ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (4-4-2) : เกย์ลอร์ นาวาส – ธีโล เคห์เรอร์, มาร์กินญอส, ติอาโก้ ซิลวา (กัปตันทีม), มิทเชล บัคเคอร์ – อังเคล ดิ มาเรีย, อิดริสซ่า กาน่า เกย์, เลอันโดร ปาเรเดส, เนย์มาร์ – เมาโร อีการ์ดี้, คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้

        แซงต์-เอเตียน : เชสซี่ มูแล็ง – มาติเยอ เดอบูชี่, โลอิก แปร์แร็ง (กัปตันทีม), เวสเล่ย์ โฟฟาน่า, ติโมเต้ โคล็อดเซียจซัค – ยันน์ เอ็มวีล่า, มาห์ดี้ กามาร่า – ยานน์ มาครง, ริยาด บูเดอบุซ, เดอนีส์ บวงก้า – โรแม็ง อามูม่า

    ผู้ตัดสิน : อาโมรี่ เดอเลอรู