น้ำใจงาม! “ซัวเรซ” ซื้อบิ๊กแม็คเป็นแสนร่วมบริจาคให้บ้านเกิด

หลุยส์ ซัวเรซ หัวหอก "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด มีน้ำจิตน้ำใจให้กับพี่น้องด้วยการสั่งอาหารฟาสฟู้ดบริษัทดังจำนวนรวมเกือบ 170,000 บาทเพื่อนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับการกุศลในประเทศบ้านเกิด
   
หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้ามากประสบการณ์ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด สโมสรดังแห่งศึกลา ลีกา สเปน ใจบุญสุดๆ ด้วยการสั่งแฮมเบอร์เกอร์จำนวน 1,000 ชิ้น สนนราคารวม 4,300 ปอนด์ (ราว 163,400 บาท) ซึ่งเงินจำนวนนี้จะถูกนำเข้าการกุศลในประเทศอุรุกวัย บ้านเกิดของนักเตะ

ในทุกๆ ปี แม็คโดนัลด์ บริษัทฟาสต์ฟู้ดชื่อดังจะจัดงานการกุศลที่ใช้ชื่อว่ามูลนิธิบ้านพักพิง โรนัลด์ แม็คโดนัลด์ (Ronald McDonald House Association) โดยเมื่อปีที่ผ่านมา คาร์ลอส เตเวซ อดีตหัวหอกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยร่วมบริจาคให้กับ อาร์เจนตินา ด้วยการสั่งเบอร์เกอร์จำนวน 1,000 ชิ้น

สำหรับในปี 2020 ซัวเรซ ได้สั่ง "บิ๊กแม็ค" ของ แม็คโดนัลด์ ราคาชิ้นละ 4.30 ปอนด์ (ราว 163 บาท) เป็นจำนวน 1,000 ชิ้นผ่านทางแอพพลิเคชั่น แม็คเดลิเวอรี่โดยเงินทั้งหมดจะถูกส่งไปยังโรงเรียนฟุตบอลในเมืองปันโด ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมอนเตวิเดโอประมาณ 20 ไมล์ (ราว 32.18 กิโลเมตร) และมูลนิธิบ้านพักพิงโรนัลด์

หลังจากที่ อดีตสตาร์ลิเวอร์พูล และ บาร์เซโลน่า ได้ร่วมบริจาคในครั้งนี้แล้ว แม็คโดนัลด์ สาขาอุรุกวัยได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า "หลุยส์ ซัวเรซ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีพรมแดนในวันที่ยิ่งใหญ่ เขาซื้อบิ๊กแม็ค 1,000 ชิ้นจากสเปนผ่านทางแม็คเดลิเวอรี่ เพื่อบริจาคให้กับบ้านพักพิงโรนัลด์ ในลิเซโอ อิมพูลโซ และบริจาคให้กับ ปันโด้ เบบี้ลีก ขอบคุณ หลุยส์ สำหรับการบริจาคครั้งนี้ ! ไม่ว่าอยู่แห่งหนไหนทุกๆ คนสามารถร่วมกับเราได้"

ทั้งนี้มูลนิธิบ้านพักพิง โรนัลด์ แม็คโดนัลด์ เคยช่วยครอบครัวที่มีความจำเป็นมาแล้วมากกว่า 7,000 รายต่อปีในประเทศอุรุกวัย ขณะเดียวกันมูลนิธนี้ยังช่วยจัดหาอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมทั้งให้การสนับสนุนผู้หญิงท้อง และจัดหายารักษาโรคที่จำเป็นด้วย

คนนี้แฟนหงส์ถูกใจไหม? สื่อยันลิเวอร์พูลเดินหน้าซื้อกองหลังคนใหม่แล้ว

สื่ออังกฤษ ตีข่าว ลิเวอร์พูล เปิดฉากคุยกับทีมเมืองเบียร์แล้วเพื่อขอซื้อกองหลังมาเสริมทัพช่วงปีใหม่ หลัง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ต้องพักยาว
   
ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เดินหน้าเจรจากับ ชาลเก้ 04 สโมสรในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน เพื่อขอซื้อตัว โอซาน คาบัค ปราการหลังดาวรุ่งทีมชาติตุรกี มาเข้าถิ่น แอนฟิลด์ ช่วงเปิดตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคมนี้แล้ว ตามรายงานจาก ซันเดย์ มิร์เรอร์ สื่อเมืองผู้ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา

"หงส์แดง" กำลังมองหาเซนเตอร์แบ็กคนใหม่เข้ามาเสริมทัพ เพราะ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังคนเก่งต้องพักยาวจากการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า หลังโดน จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวาร เอฟเวอร์ตัน เข้าสกัดหนักใส่ในเกมลีกที่เสมอกัน 2-2 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา

ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา "หงส์แดง" เคยมีข่าวกับ คาบัค วัย 20 ปี มาแล้ว และเวลานั้น ชาลเก้ ตั้งค่าตัวไว้ที่ 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,600 ล้านบาท) แต่หลังจากที่ "ราชันสีน้ำเงิน" ออกสตาร์ตฤดูกาลย่ำแย่ทำให้พร้อมลดราคานักเตะลงมาเหลืออยู่ที่ราว 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,200 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล พร้อมจะจ่ายค่าตัวเบื้องต้นให้ ชาลเก้ จำนวน 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 800 ล้านบาท) พร้อมกับโบนัสอีกส่วนหนึ่งตามเงื่อนไขที่ทำได้ ส่งผลให้ทั้งสองสโมสรยังต้องคุยกันอีกเพื่อให้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

ทั้งนี้ คาบัค มีสไตล์การเล่นที่ดุดัน แข็งแกร่ง กล้าลุย รวดเร็ว และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี รวมทั้งมี ฟาน ไดค์ เป็นไอดอลของตัวเองด้วย

โชต้าโขกชัย-ฟีร์มีโน่ยิงเสียที! ลิเวอร์พูลหืดแซงเชฟยู แต้มทาบจ่าฝูงทอฟฟี่

"หงส์แดง" เป่าปากเหนื่อยไม่น้อยหลังเป็นฝ่ายตามหลังให้ "ดาบคู่" หลัง ฟาบินโญ่ ไปทำเสียจุดโทษ ก่อนที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ จะซัดไล่ตีเสมอ และครึ่งหลังมาได้ ดีโอโก้ โชต้า โขกประตูชัยพา ลิเวอร์พูล แซงเอาชนะ เชฟฯยูไนเต็ด 2-1 เก็บสามแต้มสำคัญมีเพิ่มเป็น 13 คะแนนเท่าจ่าฝูง เอฟเวอร์ตัน ที่แข่งน้อยกว่าและลูกได้เสียดีกว่า

สนาม : แอนฟิลด์

    เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่สุดท้ายประจำวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ที่ไม่ชนะในเกมลีกมา 2 นัดติดเปิดรังรับมือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งมีแต้มแรกจากการเสมอกับ ฟูแล่ม 1-1

    เจอร์เก้น คล็อปป์ ชวดใช้งาน เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่บาดเจ็บยาวทำให้ เซ็นเตอร์แบ็กวันนี้เป็น ฟาบินโญ่ จับคู่กับ โจ โกเมซ ขณะที่แดนกลางไร้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่บาดเจ็บทำให้ให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ปั้นเกมสนับสนุนแนวรุกที่ใช้ ดีโอโก้ โชต้า, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และซาดิโอ มาเน่ ปั้นเกมให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ยืนเป็นหน้าเป้า

    ส่วนทางด้าน "ดาบคู่" เกมนี้ส่ง รีอาน บรูว์สเตอร์ ได้ลงสนามพบกับต้นสังกัดเก่า โดยล่าตาข่ายร่วมกับ โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่

    เปิดฉากมาแค่ 3 นาทีแรก "หงส์แดง" เกือบได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว หลัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เรียกฟรีคิกได้ ก่อนที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะลักไก่ยิงจากครึ่งสนาม บอลกำลังจะมุดใต้คานอยู่แล้วแต่ อารอน แรมส์เดล ยังถอยหลังปัดข้ามคานออกไปหวุดหวิด

    แต่แล้ว นาที 12 กลายเป็นเจ้าบ้าน ลิเวอร์พูล มาเสียลูกที่จุดโทษ หลัง ฟาบินโญ่ ไปเสียบใส่เท้า โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ บนเส้น 18 หลาผู้ตัดสินเช็กจาก VAR ก่อนจะชี้เป็นจุดโทษเนื่องจังหวะเข้าเสียบของฟาบินโญ่บนเส้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขตโทษ และเป็น ซานเดอร์ เบิร์ก ที่ยิงเข้าไปไม่พลาดให้ เชฟฯยูไนเต็ด บุกมานำ "หงส์แดง" 1-0

    นาที 17 จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ได้โอกาสซัดนอกกรอบบ้างแต่บอลก็พุ่งหลุดกรอบออกหลังไปไกล

    อีก 3 นาทีถัดมา "ดาบคู่" ได้เสียวอีกหลัง เอธาน อัมปาดู ครอสบอลไปหน้ากรอบถึง โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ ซัดมุมแคบถากเสาไกลออกไป

    แนวรับหงส์แดงระส่ำหนัก นาที 24 หวิดเสียเม็ดที่สองให้ทีมเยือน เมื่อ จอร์จ บัลด็อค ครอสจากขวาไปหน้ากรอบให้ เบน ออสบอร์น ซัดด้วยซ้ายไปติดเซฟของ อลีสซง

    นาที 35 หงส์แดงมาได้ลุ้นบ้าง เทรนท์ เปิดคอนเนอร์จากด้านขวาเข้ามา แนวรับดาบคู่สกัดไปเข้าทาง ฟาบินโญ่ เติมเข้ามาหวดตูมเดียวเหินโด่งข้ามคานไป

    นาที 41 ลิเวอร์พูล มาทวงประตูตีเสมอ 1-1 จนได้ จากจังหวะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ครอสจากด้านขวาข้ามหัวเซ็นเตอร์แบ็กดาบคู่มาให้ ซาดิโอ มาเน่ ขึ้นโขกไปติดเซฟ อารอน แรมส์เดล แต่บอลยังมาเข้าทาง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ซ้ำจ่อๆไม่ถึง 5 หลาเข้าไปอย่างง่ายดาย เป็นประตูแรกของดาวยิงทีมชาติบราซิลในซีซั่นนี้

    ถัดมาอีกนาทีเดียว "หงส์แดง" เกือบได้ลุ้นแซงขึ้นนำ หลัง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แทงบอลจากกลางทะลุถึง ซาลาห์ สปีดควบบอลเข้าไปยิงติดมือ อารอน แรมส์เดล ก่อนที่ผู้ตัดสินจะเป่าว่าเป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อนแล้ว

    จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล เสมอกับ เชฟฯยูไนเต็ด 1-1

    ครึ่งหลัง ทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น นาที 48 "ดาบคู่" ได้โอกาสลุ้นขึ้นนำหลัง ซานเดอร์ เบิร์ก โขกเช็ดมาให้ จอร์จ บัลด็อค วิ่งมาซัดด้วยขวาบอลพุ่งไปแฉลบ โจ โกเมซ ออกหลัง

    นาที 53 คริส ไวล์เดอร์ นายใหญ่เชฟฯยูฯเปลี่ยนตัวคนแรกส่ง โอลิเวอร์ เบิร์ก ลงไปเล่นแทน รีอาน บรูว์สเตอร์ ที่วันนี้เล่นไม่ออก

    นาที 62 เทรนท์ ตักบอลสุดสวยเข้าไปหน้ากรอบเขตโทษ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จับบอลลงด้วยซ้ายอย่างสุดสวยก่อนจะดีดด้วยซ้ายอีกทีเข้าประตูไป แต่ทว่า VAR ให้สัญญาณว่าเป็นจังหวะล้ำหน้าของดาวยิงชาวอียิปต์ก่อน

    กระนั้น นาที 64 ไม่กี่อึดใจต่อมา ซาดิโอ มาเน่ เปิดบอลอย่างแม่นยำไปเสาไกลให้ ดีโอโก้ โชต้า เทกตัวขึ้นโขกบอลเบียดเสาเข้าไป ให้ ลิเวอร์พูล แซงขึ้นนำดาบคู่ 2-1

    นาที 82 เจ้าบ้านชวดได้ประตูที่สามหลัง ไวนัลดุม จ่ายทะลุให้ ซาลาห์ พลิกเข้าไปซัดบอลชนเสา ก่อนจะกระดอนมาเข้ามือ อารอน แรมส์เดล อย่างน่าเสียดาย

    จบเกม ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ เชฟฯยูไนเต็ด หวุดหวิด 2-1 เก็บสามแต้มพร้อมแซงขึ้นไปนั่งรองจ่าฝูงหลังมี 10 คะแนนเท่ากับ เอฟเวอร์ตัน ทว่า "ทอฟฟี่" ที่แข่งน้อยกว่ามีลูกได้เสียเหนือกว่าทำให้รั้งจ่าฝูงต่อไป ขณะที่ "ดาบคู่" แพ้เป็นเกมที่ 5 มีแต้มเดียวรั้งรองบ๊วยของลีก

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

        ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, ฟาบินโญ่, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน – ดีโอโก้ โชต้า, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์

        ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์

        เชฟฯ ยูไนเต็ด (3-5-2) : อารอน แรมส์เดล – คริส บาแชม, อีธาน อัมปาดู, จอห์น เอแกน – จอร์จ บัลด็อค, จอห์น ลุนด์สแตรม, เบน ออสบอร์น, ซานเดอร์ เบิร์ก, เอ็นดา สตีเว่นส์ – โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่, รีอาน บรูว์สเตอร์

        ผู้จัดการทีม : คริส ไวล์เดอร์

        ผู้ตัดสิน : ไมค์ ดีน

ทอฟฟี่แตก!อันเช่เปิดใจหลังเกมเอฟเวอร์ตันโดนเซาธ์แฮมป์ตันสอย

คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือเอฟเวอร์ตัน เปิดใจถึงผลงานของทัพ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ในแมตช์ออกไปโดน เซาธ์แฮมป์ตันสอย เกมลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมชี้จังหวะที่ ลูก้าส์ ดีญ โดนใบแดงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมสำหรับนักเตะเลย
    คาร์โล อันเชลอตติ ผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียนของ เอฟเวอร์ตัน ยอมรับแมตช์นี้ลูกทีมของตนทำผลงานได้น่าผิดหวัง ส่งผลให้ต้องออกไปพ่าย "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน 0-2 ที่สนามเซนต์ แมรี่ส์ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา

    เซาธ์แฮมป์ตันทำผลงานได้อย่างดุดันโดนได้สองประตูจาก เจมส์ วอร์ด-เพราส์  กับ เช อดัมส์ ในช่วงครึ่งแรก ขณะที่ครึ่งหลังในนาทีที่ 72 "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ต้องมาเสียเปรียบเมื่อ ลูก้าส์ ดีญ ไปเข้าหนักใส่ ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

    สำหรับการออกไปแพ้ "นักบุญ" ในแมตช์นี้ทำให้ เอฟเวอร์ตัน พ่ายเป็นเกมแรกในลีกฤดูกาลนี้ ทำให้ตอนนี้ทีมมี 13 คะแนนเท่ากับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล แต่ผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่าจึงยังคงยึดตำแหน่งจ่าฝูงลีกต่อไป โดยหลังจบเกม อันเชลอตติ ยอมรับว่าผลงานของนักเตะในแมตช์นี้น่าผิดหวังมากๆ

    "มันไม่ใช่วันที่ดีและก็ไม่ใช่ฟอร์มที่ดีสำหรับเรา เราอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการพ่ายแพ้เกมแรก และผมรู้สึกว่าเราต้องพัฒนาต่อไปอีก แน่นอนว่าเราไม่อยากแพ้ แต่ในวงการฟุตบอลเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ เราต้องมองไปข้างหน้าจากเกมนี้ พร้อมกับยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างที่เราเคยมี แต่เรื่องแบบนี้ มันเกิดขึ้นได้"

    ขณะเดียวกัน "คาร์เล็ตโต้" ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ ดีญ โดนไล่ออกจากสนามว่า "ผมคิดว่ามันรุนแรงมากๆ เราจะทำการอุทธรณ์ในเรื่องนี้ มันไม่ใช่จังหวะที่เจตนาทำเลย มันไม่ใช่พฤติกรรมที่รุนแรง จริงๆ แล้วแค่ใบเหลืองก็พอแล้ว แต่นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่รุนแรง และใบแดงถือว่าไม่ยุติธรรม"

6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 6

กลับมาเจอกันอีกครั้งกับ ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก โดยสัปดาห์นี้เป็นโปรแกรมแมตช์เดย์ที่ 6 ของทั้งสองทีม โดยจะมีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันได้เลย
    "เวสต์แฮม ยูไนเต็ด-แมนฯซิตี้"

    เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ของ เดวิด มอยส์ ไม่แพ้ใครมา 3 เกมติด และคัมแบ็กตีเสมอ ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ 3-3 ทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 0-3

    ฝั่ง แมนฯ ซิตี้ มองหาชัยชนะสองเกมติดเป็นครั้งแรกของฤดูกาลนี้ และจะทำอันดับแซงหน้า ‘ขุนค้อน’ ทันทีหากคว้าสามแต้มได้

    การเจอกันครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2009 ที่ เวสต์แฮม มีอันดับเหนือกว่า แมนฯ ซิตี้ โดยตอนนั้นพวกเขาเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 1-0 ที่สนามอัพตัน พาร์ค

    เกมรุกของ เวสต์แฮม ดูดีเหลือเกิน เมื่อทำสกอร์ใส่คู่แข่งอย่างน้อยสามประตูใน 9 นัดของศึกพรีเมียร์ลีก ในปฏิทินปี 2020 ซึ่งไม่มีทีมทำได้มากกว่าพวกเขาอีกแล้ว

    ขณะที่ ซิตี้ ก็มีสถิติสวยหรูยามบุกเยือน ลอนดอน สเตเดี้ยม โดยเอาชนะได้ถึง 5 เกมจากทุกรายการ และทำสกอร์รวมได้ถึง 22-1 แถมยิงประตูได้อย่างน้อย 4 ประตูในแต่ละนัด

    ส่วนคนที่โดดเด่นที่สุด หนีไม่พ้น ราฮีม สเตอร์ลิง ที่มีส่วนร่วมกับประตู 11 ลูก จาก 6 เกมหลังสุดที่เจอกับ เวสต์แฮม โดยยิงได้ 6 ประตูและแอสซิสต์อีก 5 ครั้ง ซึ่งชัยชนะ 5-0 เมื่อซีซั่นที่แล้วเจ้าตัวก็ทำแฮตทริกได้

    "แมนฯ ยูไนเต็ด-เชลซี"
    แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด 2 เกมในฤดูกาลนี้ ยังไม่ชนะใคร แต่หากคว้าชัยได้จะทำคะแนนแซง เชลซี ทันที และยังจะเอาชนะคู่แข่งรายนี้ 3 เกมติดเป็นครั้งแรกอีกด้วย

    ฝั่ง เชลซี ตั้งเป้าไม่แพ้ใคร 4 เกมติด อย่างไรก็ตามการบุกชนะ ‘ปีศาจแดง’ ถึงโรงละครแห่งความฝันครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2013 โน่นเลย
   
    มาร์คัส แรชฟอร์ด จะเป็นผู้เล่นของฝั่งทีมสีแดงทันที หากสามารถทำประตูได้ 2 หรือ 3 ลูกขึ้นไปในเกมนี้ ซึ่งจะเป็นการทำสถิติดังกล่าว 2 เกมติดในการเจอกับ เชลซี ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด

    หาก เอดินสัน คาวานี่ ประเดิมสนามเกมพรีเมียร์ลีก เขาจะมีโอกาสเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดลำดับที่ 2 ที่ทำประตูได้ในเกมแรกที่ลงสนาม ในวัย 33 ปี 253 วัน ต่อจาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ทำสกอร์ได้ในเกมแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2016 ในวัย 34 ปี 316 วัน

    นับตั้งแต่ออกสตาร์ทเมื่อซีซั่น 2019/20 เกมเยือนของ เชลซี จะมีประตูเกิดขึ้นมากมายเป็นตัวเลขถึง 87 ลูก ซึ่งพวกเขาทำได้ 42 ประตูในช่วงเวลาดังกล่าว โดยถือว่าเป็นทีมที่ทำประตูในเกมเยือนได้มากที่สุดของ พรีเมียร์ลีก หากนับเฉพาะช่วงนั้น

    "ลิเวอร์พูล-เชฟฯยูไนเต็ด"

    ‘แชมป์เก่า’ ลิเวอร์พูล หลีกเลี่ยงที่จะไม่ชนะใครในเกมลีก 3 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2018 ส่วนฝั่ง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไม่เคยบุกชนะที่ สนาม แอนฟิลด์ เลย ตั้งแต่ปี 1994

    ‘หงส์แดง’ เอาชนะ ‘ดาบคู่’ ได้ตลอด 3 เกมหลังสุดโดยที่ไม่เสียประตูเลย

    นับตั้งแต่วันที่ได้แชมป์ลีกเมื่อซีซั่นก่อน ลิเวอร์พูล เสียประตูในเกมลีกไปถึง 25 ลูกจากการลงสนาม 12 นัด ซึ่งไม่มีทีมไหนที่เสียประตูในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว โดยที่การเสียประตู 25 ลูกก่อนหน้านั้นมาจากการลงสนาม 38 เกม

    ในการเล่นเกมเยือน 13 นัดหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก นั้น เชฟฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยยิงได้มากกว่า 1 ลูกเลย (ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 8) โดยพวกเขาทำได้รวม 6 ลูกเท่านั้นด้วย โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขายิงได้เกิน 1 ลูกในการเล่นเกมเยือนในลีกคือนัดที่บุกไปชนะ นอริช ซิตี้ 2-1 เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2019

    อีกทั้งในฤดูกาลนี้ทัพ "ดาบคู่" เป็นทีมเดียวใน พรีเมียร์ลีก ที่ยังไม่เคยได้ขึ้นนำใครก่อนเลย

    "เซาธ์แฮมป์ตัน-เอฟเวอร์ตัน"

    เซาธ์แฮมป์ตัน ตั้งเป้าคว้าชัยเกมที่ 3 ในรอบ 4 เกม หลังไล่ตีเจ๊า เชลซี 3-3 เมื่อเกมก่อน

    เอฟเวอร์ตัน เก็บได้ 13 แต้มจาก 15 คะแนนเต็ม โดยหากพวกเขาบุกคว้าชัยที่ เซนต์ แมร์รี่ส์ ได้จะทำให้ชนะเกมเยือนพรีเมียร์ลีก 4 นัดติดต่อกันได้เป็นครั้งแรก

    ‘ทีมนักบุญ’ เอาชนะ ‘ทอฟฟี่สีน้ำเงิน’ 5 นัดจากการเจอกัน 7 นัดหลังสุดในการเล่นในบ้าน ทว่าเมื่อซีซั่นก่อนพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายไป 1-2

    แดนนี่ อิงส์ ทำประตูใส่ เอฟเวอร์ตัน 4 ลูกจาก 5 เกมในสีเสื้อ เซาธ์แฮมป์ตัน

    หาก เอฟเวอร์ตัน คว้าชัยในเกมนี้ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2 เกมติด

    โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน จะเป็นนักเตะคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ทันทีต่อจาก เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่สามารถทำประตูได้ทุกเกมใน 6 เกมแรกของฤดูกาล

    "อาร์เซน่อล-เลสเตอร์"

    ทั้ง อาร์เซน่อล และ เลสเตอร์ ซิตี้ ต่างมีแต้มเท่ากันในตอนนี้ โดยที่ฝั่งเจ้าถิ่นเตรียมดึงโมเมนตัมตัวเองกลับมาหลังแพ้ 2 จาก 3 เกมหลัง ที่พ่ายต่อ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

    ขณะที่ฝั่ง ‘เดอะ ฟ๊อกซ์’ ต้องกลับมาสู่เส้นทางชัยชนะอีกครั้ง หลังเจ็บตัวจากความพ่ายแพ้ในบ้าน 2 เกมติดต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลล่า

    สถิติสวยหรูของ อาร์เซน่อล ที่พอจะชื่นใจได้ คือการที่พวกเขาไม่แพ้ใครที่บ้านตัวเองในเดือนตุลาคมมาแล้วถึง 18 ปี โดยที่ลงเล่นในเดือนนี้ 32 นัด แพ้ไปแค่นัดเดียวเท่านั้น

    ขณะเดียวกัน ‘เดอะ กันเนอร์ส’ ไร้พ่ายต่อ เลสเตอร์ ในบ้านตัวเองมาแล้ว 27 นัดจากทุกรายการ แบ่งเป็นชนะ 20 เสมอ 7 อย่างไรก็ตามชัยชนะเกมเยือน 2 นัดหลังของ ‘จิ้งจอกสีน้ำเงิน’ ทำประตูรวมได้ถึง 8-2

    ในฤดูกาลนี้ ลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มีสถิติดีที่สุดในเรื่องของการทำประตูเมื่อเทียบกับโอกาสทำประตู โดยมีตัวเลขทำประตูได้ต่ำกว่า 25% จากโอกาสทั้งหมด แต่ทว่าพวกเขาไม่สามารถทำประตูได้เลยจากโอกาส 15 ครั้งหลังในความพ่ายแพ้ 2 เกมหลังสุด

    "เบิร์นลี่ย์-สเปอร์ส"
    เบิร์นลี่ย์ เก็บแต้มแรกของซีซั่นได้เสียที หลังบุกเสมอ เวสต์บรอมวิช 0-0 ส่วน ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ ตั้งเป้าคว้าชัยเกมเยือน 3 นัดแรกของซีซั่นเป็นครั้งที่สอง โดยที่พวกเขาทำประตูได้ถึง 11 ลูกจาก 2 เกมแรกในซีซั่นนี้

    เจ้าถิ่นมีสถิติไม่ดีนักยามเจอ ‘ไก่เดือยทอง’ โดยเอาชนะได้แค่ 2 เกมจาก 12 นัดที่พบกันใน พรีเมียร์ลีก (เสมอ 3 แพ้ 7) ซึ่งชัยชนะ 2 เกมดังกล่าวเกิดขึ้นในการเล่นที่ เทิร์ฟ มัวร์ เมื่อซีซั่น 2009/10 และ 2018/19

    ‘เดอะ คลาเร็ตส์’ แพ้ในบ้านตัวเองมาแล้ว 2 เกมติดต่อกัน ซึ่งหากพวกเขาแพ้อีกในเกมนี้ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวามคม ปี 2018 ที่ไม่สามารถเก็บแต้มได้ในบ้าน 3 เกมติด

    ทั้ง แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึง-มิน ต่างช่วยกันทำประตูให้กันและกันได้ถึง 8 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ ซึ่งหากคนใดคนหนึ่งช่วยอีกคนให้ได้ประตูอีกในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ ก็จะทำให้พวกเขาสองคนเป็นคู่หู่ของ ‘ไก่เดือยทอง’ ที่ช่วยกันทำประตูให้ทีมมากที่สุดขึ้นไปเทียบเท่า เท็ดดี้ เชอริงแฮม กับ ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน เมื่อซีซั่น 1992/93 และ เชอริงแฮม กับ คริส อาร์มสตรอง ในซีซั่น 1995/96

    ขณะที่ เคน มีส่วนกับประตูโดยตรงในการเจอกับ เบิร์นลี่ย์ 8 ลูกจาก 4 เกมหลัง โดยแบ่งเป็นทำประตูได้ 6 และแอสซิสต์อีก 2

ลิเวอร์พูล ไร้ติอาโก้จัด “โชต้า” ตัวจริงรับมือ มิดทิลลันด์ ศึกชปล.

"หงส์แดง" หวังโกยอีก 3 แต้มหลังเกมนี้ได้กลับมาเฝ้ารังรับมือ มิดทิลลันด์ ทีมดังจากเดนมาร์ก ซึ่งเกมนี้ยังไร้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ห้องเครื่องตัวเก่งที่ยังมีอาการบาดเจ็บ ส่วนแนวรุกจะให้ ดีโอโก้ โชต้า ออกสตาร์ทตัวจริงประสานงานร่วมกับ 3 ประสานทั้ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม คืนวันอังคารที่ 27 ตุลาคม นี้
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลุ่ม ดี
ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) – มิดทิลลันด์ (เดนมาร์ก)       
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม 2563 เวลา : 03.00 น.
สนาม : แอนฟิลด์

สภาพทีมโดยทั่วไป

ลิเวอร์พูล

    เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ลิเวอร์พูล พาทีมเบียดชนะอาแจ็กซ์ 1-0 ในนัดแรก ก่อนเชือดเชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะ 2 นัดติด 

    ความพร้อมเกมนี้ คล็อปป์ ออกมายืนยันแล้วว่า ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ โฌแอล มาติป จะพลาดเกมเปิดรังรับทีมจากแดนโคนมเช่นเดียว ขณะที่ นาบี เกอิต้า แม้ผลตรวจโควิด-19ล่าสุดออกมาเป็นลบ แต่ยังต้องเช็กสภาพร่างกาย

    ส่วนพวกที่เดี้ยงอยู่ก่อนทั้ง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ คอนสแตนตินอส ซิมิคาส ต้องพักยาวเหมือนเดิม

    สำหรับแกนหลักขาประจำรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ รวมทั้ง ดีโอโก้ โชต้า ที่ซัดประตูชัยในเกมเปิดบ้านเฉือน เชฟฯยุไนเต็ด 2-1 น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเช่นกัน

มิดทิลลันด์

    ไบรอัน ปริสเก้ เทรนเนอร์มมิดทิลลันด์ พาทีมเปิดฉากรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างน่าหดหู่ หลังแพ้อตาลันต้าเละ 0-4 แต่ก็แก้ตัวได้ด้วยการเบียดชนะบรอนด์บี้ 3-2 ในเกมลีกล่าสุด เป็นชัยชนะนัดที่ 3 ในรอบ 5 เกม 

    สภาพทีมเกมนี้ ปริสเก้ จะชวดใช้งาน โอลิเวอร์ โอลเซ่น และ คริสเตียน ริส ที่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วเหมือนเดิม

    นอกจากนั้นไม่มีปัญหาอะไรรบกวนเพิ่ม แกนหลักประจำทีมรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เอริค สเวียตเชนโก้, อเล็กซานเดอร์ โชลซ์, แฟร้งค์ ออนเยก้า, โซรี่ กาบ้า และ ปิยอน ซิสโต้ แนวรุกทีมชาติเดนมาร์ก ต่างพร้อมช่วยทีมทั้งหมด

นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

    ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม – ดีโอโก้ โชต้า, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์

    เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์

    มิดทิลลันด์ (4-2-3-1) : เยสเปอร์ ฮันเซ่น – โยเอล อันเดอร์สสัน, เอริค สเวียตเชนโก้, อเล็กซานเดอร์ โชลซ์, เปาลินโญ่ – เยนส์ คายุสเต้, แฟร้งค์ ออนเยก้า – อันเดอร์ส เดรเยอร์, ปิยอน ซิสโต้, อาเวอร์ มาบิล – โซรี่ กาบ้า  

    เทรนเนอร์ : ไบรอัน ปริสเก้

    ผู้ตัดสิน : พาเวล ราซคอฟสกี้ (โปแลนด์)

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุด
ไม่เคยพบกัน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
ลิเวอร์พูล
25/10/20 ชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
21/10/20 ชนะ อาแจ็กซ์ 1-0 (เยือน) ชปล.
17/10/20 เสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
04/10/20 แพ้ แอสตัน วิลล่า 2-7 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
01/10/20 เสมอ อาร์เซน่อล 0-0 (เหย้า) ลีก คัพ

มิดทิลลันด์
24/10/20 ชนะ บรอนด์บี้ 3-2 (เยือน) ซูเปอร์ลีกา
22/10/20 แพ้ อตาลันต้า 0-4 (เหย้า) ชปล.
17/10/20 ชนะ โอเดนเซ่ 3-1 (เหย้า) ซูเปอร์ลีกา
04/10/20 เสมอ ฮอร์เซ่นส์ 2-2 (เยือน) ซูเปอร์ลีกา
01/10/20 ชนะ สลาเวีย ปราก 4-1 (เหย้า) ชปล.

คอลลีมอร์ชี้เป๊ปไม่ควรติดท็อป10กุนซือเก่งสุดโลก

สแตน คอลลีมอร์ ระบุ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้เก่งกาจชนิดที่ควรติดชาร์ต 10 กุนซือที่เก่งที่สุดในโลก โดยบอกว่าสิ่งที่ กวาร์ดิโอล่า ทำได้ในช่วงที่ผ่านมามันเทียบกับผลงานของคนแบบ ไบรอัน คลัฟ และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ได้สักนิด
    สแตน คอลลีมอร์ อดีตกองหน้าของ ลิเวอร์พูล กล่าวว่าสำหรับตนแล้ว โจเซป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่คู่ควรกับการเป็น 10 กุนซือที่เก่งที่สุดตลอดกาลของวงการฟุตบอลด้วยซ้ำ

    กวาร์ดิโอล่า ได้รับการยกย่องจากหลายฝ่ายว่าเป็นหนึ่งในกุนซือชั้นยอดของยุคนี้ หลังจากประสบความสำเร็จในการคุมทีมอย่างล้นหลาม โดยที่ บาร์เซโลน่า เขาได้แชมป์อย่างเช่นแชมป์ลีก 3 สมัย, โกปา เดล เรย์ 2 ครั้ง และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 หน เป็นต้น ส่วนแชมป์ที่เขาได้กับ บาเยิร์น มิวนิค มีอย่างเช่นแชมป์ บุนเดสลีกา 3 ครั้ง กับ เดเอฟเบ-โพคาล 2 สมัย ขณะที่กับ แมนฯ ซิตี้ ที่ผ่านมาเขาพาทีมได้แชมป์ลีก 2 ครั้ง, แชมป์ เอฟเอ คัพ 1 หน และแชมป์ คาราบาว คัพ 3 รอบ

    คอลลีมอร์ กล่าวผ่านคอลัมน์ใน เดอะ มิร์เรอร์ สื่อของอังกฤษว่า "ถ้าเกิดมีคนเทเงินให้ผมหลายพันล้านปอนด์เพื่อเอาไปใช้กับทีมฟุตบอลแล้วล่ะก็ ผมก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ทีมมีผลงานที่ดีได้เป็นธรรมดา ดังนั้นต่อให้ฤดูกาลนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันก็จะเป็นเพียงความสำเร็จที่ไม่ได้ยิง่ใหญ่จนน่าทึ่งอะไรมากนัก (หมายถึงในเมื่อที่ผ่านมา กวาร์ดิโอล่า ใช้เงินไปเยอะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก)"

    "นอกจากนี้ ต่อให้ในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้าเขาจะบอกลา เอติฮัด ไปพร้อมกับแชมป์รายการนั้น ผมก็ไม่ถือว่าเขาทำได้ดีพอกับการคุมทีมในอังกฤษจนถึงระดับคู่ควรกับการทำให้ผมมองว่าเขาเป็นกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอยู่ดี ต่อให้คนอายุไม่เกิน 30 ปีหลายคนจะพยายามโน้มน้าวใจให้ผมคิดแบบนั้นด้วยก็ตาม"

    "ในอีก 1 หรือ 2 ทศวรรษต่อจากนี้น่ะ ถ้าเกิดเรามองย้อนกลับมายังตอนนี้แล้วเนี่ย ผมก็ไม่คิดว่า กวาร์ดิโอล่า จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน 10 กุนซือที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลด้วยซ้ำ เขาติด 20 อันดับแรกไหมน่ะเหรอ ? แน่นอนว่าเขาดีพอติดชาร์ตนั้น แต่ 10 อันดับแรกเนี่ยไม่มีทางเลย ส่วนอันดับ 1 น่ะเหรอ ? เขาไม่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นด้วยซ้ำ"

    "การจะถูกมองว่าคู่ควรกับการเป็นกุนซือที่เก่งที่สุดน่ะมันหมายความว่าคุณต้องไปรับงานคุมทีมยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในช่วงตกต่ำระดับที่โดนคู่แข่งฝังจมมิด และเปลี่ยนให้ทีมนั้นกลายเป็นสโมสรที่สามารถครองความยิ่งใหญ่ในประเทศของตัวเองได้เกือบ 2 ทศวรรษ รวมถึงได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก สัก 2 สมัยด้วย เหมือนอย่างที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำได้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นแหละ"

    "หรือไม่อย่างนั้นคนที่จะเข้าข่ายนั้นได้ก็ต้องไปคุมทีมระดับธรรมดาๆ ที่ในทีมไม่ได้มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่สามารถเปลี่ยนให้ทีมนั้นกลายเป็นแชมป์ของเกาะอังกฤษและได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย แบบที่ ไบรอัน คลัฟ ทำได้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์"

    "สิ่งที่ ดอน เรวี่ ทำได้กับ ลีดส์ อาจจะดีพอให้เขาติด 5 อันดับแรก เช่นเดียวกับที่ จ็อค สตีน เคยประสบความสำเร็จอย่างมากกับที่ เซลติก นี่เรายังไม่ได้พูดถึงคนแบบ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ หรือ บ็อบ เพสลี่ย์ อีกนะ แถมยังมีคนแบบ อาร์รีโก้ ซาคคี่, อูโด ลัทเทค หรือ โยฮัน ครัฟฟ์ ด้วย"

    "คุณต้องไม่ลืมว่า กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้นำเสนอฟุตบอลที่แปลกใหม่เลย เขาก็แค่เอาสิ่งที่ ครัฟฟ์ ทำกับที่ บาร์เซโลน่า มาตีความก็เท่านั้น จริงอยู่ว้าเขาทำให้ ซิตี้, บาเยิร์น และ บาร์ซ่า เล่นฟุตบอลที่สวยงามได้ แต่ทีมหลังสุดมันเป็นทีมใหญ่ในเมืองของเขาเองอยู่แล้ว แถมเขาก็ได้ทำทีมโดยที่รับสืบทอดหนึ่งในคู่กองกลางที่เก่งที่สุดในวงการฟุตบอลสมัยใหม่มาใช้งาน (หมายถึง ชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อิเนียสต้า) รวมถึงยังได้รับสืบทอดนักเตะที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดตลอดกาลมาเป็นลูกทีมด้วย (หมายถึง ลิโอเนล เมสซี่)"

    "ใช่ เขาได้แชมป์ บุนเดสลีกา กับที่ บาเยิร์น 3 ครั้ง แต่เขาไม่ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับที่นั่น และที่จริงพวกเขา (บาเยิร์น) ก็ได้แชมป์ลีกทั้งช่วงก่อนกับหลังจากที่ กวาร์ดิโอล่า ทำงานกับที่นั่นด้วย"

    "ถ้าเกิดว่า กวาร์ดิโอล่า เก่งถึงขนาดที่หลายคนพูดแล้วล่ะก็ เขาก็ควรจะทำให้ทีม (หมายถึง แมนฯ ซิตี้) เอาชนะคู่แข่งในตอนนี้ได้ทั้งหมดไปแล้วเมื่อพิจารณาถึงขุมกำลังสำรองที่เขามีให้ใช้งาน แต่พวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมองว่าอย่างดีที่สุดน่ะเขาก็เป็นเพียงกุนซือสมัยใหม่ที่เก่งมากๆ ก็เท่านั้น มรดกที่เขาทำเอาไว้มันเทียบกับแบบของ คลัฟ และ เฟอร์กูสัน ไม่ได้เลย"

เผยแมนยูวืดจอมแกร่งไลป์ซิกตอนค่าตัวสุดถูก ตอนนี้จะเอาต้องจ่ายทะลุ2.2พันล้าน!

สื่อเผย ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ กองหลังทีมชาติฝรั่งเศส เกือบได้ย้ายมาเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่สุดท้ายต้องล่มเพราะ "ปีศาจแดง" เหนียวเงินแค่ 2 แสนปอนด์เท่านั้น
   
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พลาดได้ตัว ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เซนเตอร์แบ็กดาวรุ่งคนเก่งของ แอร์เบ ไลป์ซิก มาเข้าถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อย่างน่าเสียดายเมื่อปี 2015 ตามรายงานจาก เดอะ มิร์เรอร์ สื่อเมืองผู้ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ในเวลานั้น อูปาเมกาโน่ ที่อายุ 16 ปี เล่นอยู่กับ วาล็องเซียนส์ สโมสรในฝรั่งเศส และ "ปีศาจแดง" ก็เกือบจะได้ตัว หลังนักเตะ, คุณแม่ และเอเยนต์ เดินทางมาแดนผู้ดีเพื่อตกลงเรื่องย้ายทีมแล้ว

อย่างไรก็ตาม อูปาเมกาโน่ ต้องเดินทางกลับฝรั่งเศส พร้อมกับความผิดหวัง หลังจากทั้งสองสโมสรคุยกันเรื่องค่าตัวไม่ลงตัว โดย วาล็องเซียนส์ ต้องการได้ 700,000 ปอนด์ (ประมาณ 28 ล้านบาท) ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมให้แค่ไม่เกิน 500,000 ปอนด์ (ประมาณ 20 ล้านบาท) เท่านั้น

หลังจากนั้น อูปาเมกาโน่ ก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นกองหลังฝีเท้าเยี่ยม และได้มีโอกาสไปเล่นให้ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อปี 2016 ก่อนมาอยู่กับ ไลป์ซิก เมื่อปี 2017 ด้วยค่าตัว 9 ล้านปอนด์ (ประมาณ 360 ล้านบาท) โดยเวลานี้มีหลายทีมจับตามองทั้ง เรอัล มาดริด, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด

ขณะที่ค่าตัวของกองหลังวัย 21 ปีในเวลานี้คาดว่าอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 55 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,200 ล้านบาท) หลังทำผลงานเยี่ยม และลงเล่นให้ ไลป์ซิก ไปแล้ว 118 นัด รวมทั้งติดทีมชาติฝรั่งเศส ไปแล้ว 3 เกม

เจ็บเยอะ,ลุ้นแนวรุกเด็ด ! วิเคราะห์ 5 ข้อ ลิเวอร์พูล รับมือ มิดทิลแลนด์

ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายคนทำให้แผนการโรเตชั่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ต้องเจอกับความยากลำบากพอสมควร สำหรับแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี ในวันอังคารที่ 27 ตุลาคมนี้
    "หงส์แดง" หมดสิทธิ์ใช้ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ในฐานะหัวใจเกมรับ ทำให้ทีมยังต้องพึ่งพา ฟาบินโญ่ ในตำแหน่งนี้ ขณะที่แผงกองกลางก็ไม่มี ติอาโก้ อัลกันตาร่า กับ นาบี เกอิต้า ที่ยังมีปัญหาบาดเจ็บ เช่นเดียวกับ โฌแอล มาติป ที่จะต้องพลาดแมตช์นี้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตามการที่ "เดอะ เร้ดส์" ได้ อลีสซง เบ็คเกอร์ คอยทำหน้าที่เฝ้าเสา อย่างน้อยๆ ก็รู้สึกอุ่นใจ ในส่วนของแนวรุกงานนี้ คล็อปป์ อาจจะใช้ออปชั่นพิเศษในการเลือก ทาคูมิ มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงหลังจากนักเตะทำผลงานได้ดีแม้จะเป็นแค่ตัวสำรองในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม

1. ปัญหาบาดเจ็บส่งผลระบบโรเตชั่นรวน

    ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจอกับวิบากกรรมเรื่องปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน นั่นหมายความว่าไม่ใช่งานง่ายสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในการที่จะใช้ระบบโรเตชั่นสำหรับแมตช์รับการมาเยือนของ มิดทิลแลนด์ แชมป์ลีกจากประเทศเดนมาร์ก

    แน่นอนว่า "หงส์แดง" จะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ต้องผ่าตัดเอ็นไขว้หัวเข่า และมีแนวจะต้องพักนานหลายเดือน ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมได้ นอกจากนี้ในเกมรับพวกเขายังไม่มี โฌแอล มาติป เช่นเดียวกันแผงกองกลางที่ขาด ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ นาบี เกอิต้า ซึ่งทั้งหมดนี้มีปัญหาบาดเจ็บ ไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังไม่พร้อมที่จะช่วยทีมในแมตช์ถ้วยใบโตยุโรป

    ในรายของ ติอาโก้ ซึ่งคาดว่านักเตะจะฟิตร่างกายกลับมาช่วยทีมได้ในเกมปะทะ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จำเป็นต้องให้พักร่างกายเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน หลังจากที่เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการเข้าเสียบอย่างรุนแรงของ ริชาร์ลิสัน ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เสมอ เอฟเวอร์ตัน

    ส่วนการขาดหายไปของ มาติป แน่นอนว่า นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช จำเป็นต้องใช้ ฟาบินโญ่ ยืนเป็นคู่หูเซนเตอร์แบ็กกับ โจ โกเมซ ต่อไปอีกแมตช์ ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งสองคนก็ทำผลงานได้เข้าขากัน และมีการพัฒนาในเรื่องเกมรับที่ดีวันดีคืน

    สำหรับแบ็กขวา เนโก วิลเลี่ยมส์ ยังเป็นตัวเลือกที่ กุนซือชาวเยอรมัน อาจจะใช้งานหากต้องการพัก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ด้านแบ็กซ้าย คอสตาส ซิมิคาส ยังมีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยังคงต้องลงเล่นตัวจริงต่อไป
 
2. แผงกองกลางขาดเยอะ แนวรุกหน้าอาจเปลี่ยนโฉม

    สำหรับแผงมิดฟิลด์ในเวลานี้ตัวเลือกสำคัญอย่าง ติอาโก้ และ เกอิต้า ยังมีปัญหาบาดเจ็บ และจำเป็นต้องพักฟื้นร่างกายอีกหลายวัน ขณะที่ ฟาบินโญ่ จำเป็นต้องขยับลงไปเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก นั่นหมายความว่า คล็อปป์ มีทางเลือกไม่มากนักในการจัดแดนกลางแมตช์นี้

    ขณะเดียวกันดูเหมือนว่า คล็อปป์ ต้องการที่จะพักร่างกายของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งกรำศึกหนักมาหลายแมตช์ ด้วยเหตุนี้ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าแผงกองกลางจะได้เห็น เจมส์ มิลเนอร์ ทำหน้าที่ร่วมกับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม โดยมี เคอร์ติส โจนส์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นตัวเลือกหากเกิดกรณีฉุกเฉิน

    ส่วนอีกรายที่น่าจะได้ลงสนามนั่นก็คือ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่จะได้ทำงานร่วมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ดีโอโก้ โชต้า โดยมี ทาคูมิ มินามิโนะ เป็นออปชั่นเสริม ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวหลักในการไร้ล่าตาข่ายคู่แข่ง ด้าน ซาดิโอ มาเน่ คงจะได้พักในแมตช์นี้

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ อาจจะปรับหมากด้วยการเลือกพัก เทรนต์ อเล็กซ์เดอร์-อาร์โนลด์ และส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์ ลงไปยืนประจำการแบ็กขวา ส่วนแผงกองกลางอาจจะยังคงใช้งาน เฮนเดอร์สัน กับ ไวจ์นัลดุม เพื่อหวังที่จะจัดการ มิดทิลแลนด์ ให้เด็ด

    ในส่วนของเกมรุกต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" หลายคนคาดหวังเอาไว้นั่นก็คือการได้เห็น มินามิโนะ ลงเล่นตัวจริงแทน ฟีร์มีโน่ โดยมี โชต้า กับ มาเน่ คอยยืนเคียงข้างขวาและซ้าย ส่วน "บังโม" ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ยืนเป็นหน้าเป้าเหมือนเดิม

3. มิดทิลแลนด์ ไม่ได้แกร่งแต่ไม่หมูนะครับ

    แม้ว่า มิดทิลแลนด์ จะไม่ใช่สโมสรฟุตบอลที่หลายๆ คนรู้จักมากนัก แต่พวกเขาก็ถือเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยทีมชุดนี้ได้กุนซือสมองเพชรอย่าง ไบรอัน พริสเก้ ทำหน้าที่วางหมาก และผงาดคว้าแชมป์ศึก เดนิช ซูเปอร์ลีก้า เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

    รวมไปถึงการคว้าแชมป์ลีกในซีซั่น 2014/2015 และ 2017/2018 นอกจากนี้พวกเขายังได้แชมป์ เดนิช คัพ เป็นสมัยแรกเมื่อฤดูกาล 2018–19 ผลงานของทีมชุดนี้ก็คล้ายๆ กับ ลิเวอร์พูล เพราะ มิดทิลแลนด์ เก็บได้ 13 คะแนนจากการแข่ง 6 แมตช์แรกในซีซั่นปัจจุบัน รั้งอันดับ 2 ในตารางลีกตามหลัง  ซอนเดอร์ไจสกี้ จ่าฝูง ด้วยผลต่างประตูได้เสียเท่านั้น

    แม้ว่าทีมของกุนซือไบรอัน พริสเก้ ลงเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก แมตช์แรกด้วยการแพ้ อตาลันต้า 0-4 คาบ้านก็ตาม แต่งานนี้มีหลายเสียงเห็นพ้องต้องการว่ารูปเกมของเจ้าบ้านไม่ควรแพ้สกอร์เยอะขนาดนี้ เนื่องจาก มิดทิลแลนด์ เล่นได้ดีเยี่ยมแต่ขาดแค่ความเฉียบคมเท่านั้น

    ที่สำคัญแมตช์นี้จะเป็นครั้งแรกที่ มิดทิลแลนด์ จะได้พบกับ ลิเวอร์พูล ฉะนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีเยี่ยมที่ทำให้ผู้มาเยือนจากแดนโคนมมีพลังแฝงในการสู้กับแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลล่าสุด เพราะการชนะ "เดอะ เร้ดส์" ในแอนฟิลด์ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับทีมเล็กๆ และคงจะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังเลยทีเดียว

4. แอนฟิลด์ ดินแดนสยองสำหรับทีมเยือน

    ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต้องยอมรับว่าสนามแอนฟิลด์ เป็นสถานที่ที่ทีมเยือนต้องขาสั่น เพราะพวกเขาไม่แพ้ในบ้านเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกนานถึง 62 แมตช์เข้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามในแมตช์ฟุตบอลถ้วยยุโรป เมกกะลูกหนังแห่งนี้ก็ยังคงมีมนต์ขลังเช่นกัน

    "เดอะ เร้ดส์" ไม่เคยแพ้ 2 นัดติดต่อกันกับการเล่น  90 นาทีในแอนฟิลด์ตลอด 45 แมตช์ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ซึ่งแน่นอนว่าสถิตินี้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขามสำหรับทีมเยือนในการที่จะต้องดวลกับแชมป์ถ้วย "บิ๊กเอียร์" 6 สมัย

    สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาไม่แพ้ใครในบ้านสองนัดติดต่อกันนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/2010 โดยในครั้งนั้น ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ โดนลูบคมด้วยฝีเกือกของ "โอแอล" โอลิมปิก ลียง และ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า ซึ่งสกอร์เท่ากันนั่นก็คือ 2-1

    ส่วนความพ่ายแพ้คาแอนฟิลด์ แมตช์ล่าสุดในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เป็นเกมรับมือ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด อย่างไรก็ตามชัยชนะ 3-2 ที่ทีมของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ทำได้ เกิดขึ้นจากการต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

5. ส่อง 2 ระบบที่ คล็อปป์ จะนำมาใช้ในแมตช์รับมือ มิดทิลแลนด์

แผน 1

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์

แนวรุก : เซอร์ดาน ชากีรี่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดีโอโก้ โชต้า

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

 แผน 2

ผู้รักษาประตู : อลีสซง เบ็คเกอร์

กองหลัง : เนโก้ วิลเลี่ยมส์, ฟาบินโญ่, โจ โกเมซ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

กองกลาง : จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

แนวรุก : ดีโอโก้ โชต้า, ทาคูมิ มินามิโนะ, ซาดิโอ มาเน่

หน้าเป้า : โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ลิเวอร์พูลเฮ “ติอาโก้” คืนทัพ! “ซาลาห์-มาเน่” นำตะบันเชฟยูส่งบรูว์สเตอร์ลุ้นยิงทีมเก่า

"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล จะได้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่หายเจ็บกลับมาเคลื่อนทัพแดนกลาง ขณะที่แผงแนวรุก โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ พร้อมประสานคมพักตาข่ายเกมรับ "ดาบคู่" เชฟฯ ยูไนเต็ด ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 02.00 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
ลิเวอร์พูล   –   เชฟฯ ยูไนเต็ด
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 02.00 น.)

สนาม : แอนฟิลด์

ลิเวอร์พูล :

    ลิเวอร์พูลบุกไปเสมอกับเอฟเวอร์ตัน 2-2 ในเกมลีกนัดล่าสุดก่อนที่จะเฉือนชนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 1-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ดี นัดแรก

    ความพร้อมของหงส์แดงในเกมนี้จะไม่มี เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่มีอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่ารบกวนจนต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งจะทำให้กองหลังทีมชาติฮอลแลนด์ ต้องหยุดสถิติออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในเกมลีกเอาไว้ 94 นัดติดต่อกัน นอกจากนี้ อลีสซง เบ็คเกอร์ ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ โดยเป็นที่คาดกันว่า จอมหนึบทีมชาติบราซิล จะกลับมาเฝ้าเสาได้ก่อนสิ้นเดือนนี้

    แต่มีข่าวดีคือ ติอาโก้ อัลกันตาร่า พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมในเกมนี้หลังจากที่สลัดอาการบาดเจ็บจากการปะทะกับ ริชาร์ลิซอน จน ดาวยิงบราซิเลียน โดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมลีกนัดก่อน

    ในแผงหลัง ฟาบินโญ่ คงจะได้รับโอกาสลงสนามในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กต่อไป โดยจะจับคู่กับ โจ โกเมซ เช่นเดิมหลัง อดีตแข้ง อาแอส โมนาโก โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในเกมกับอาแจ็กซ์ถึงแม้ว่า โฌแอล มาติป พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมแล้วก็ตาม

    ส่วนในแดนหน้า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน คงจะยึดผู้เล่นชุดเดิมต่อไป ซึ่งก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ทั้งที่ ฟีร์มีโน่ ถูกตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับสภาพความฟิตของเขา รวมทั้ง ดีโอโก้ โชต้า ที่ได้ลงมาเป็นตัวสำรองจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมกลางสัปดาห์ก็ตาม

    ด้าน นาบี เกอิต้า และ คอสตาส ซิมิกาส ก็สลัดอาการบาดเจ็บเตรียมกลับเข้ามาสู่ทีมอีกครั้ง ขณะที่ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ยังคงต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน

เชฟฯ ยูไนเต็ด :

    เชฟฯ ยูไนต็ด ยังคงหวานหาชัยชนะนัดแรกในฤดูกาลนี้ไม่เจอหลังไม่ชนะใครมา 6 เกมแล้วรวมทุกรายการ เกมลีกนัดล่าสุดเปิดบ้านเสมอกับฟูแล่ม 1-1

    ทีมเยือนกำลังประสบปัญหาผู้เล่นโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แจ็ค โอคอนเนลล์ ที่โดนโรคเดี้ยงบริเวณหัวเข่าเล่นงานจนต้องเข้ารับการผ่าตัดและคงจะต้องพักรักษาตัวในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ รวมทั้ง จอห์น เฟล็ค, ลีส์ มูสเซ และ แม็กซ์ ลอว์ ที่ถูกส่งประเดิมสนามในเกมลีกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่อยู่ในสนามได้เพียง 19 นาทีเท่านั้นหลังจากที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บและอาจจะไม่สามารถลงสนามได้ในเกมนี้

    ทำให้ คริส ไวล์เดอร์ ผู้จัดการทีม คงจะส่ง อีธาน อัมปาดู ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงอีกครั้ง โดยที่ เอ็นดา สตีเว่นส์ จะขยับจากตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายกลับไปยืนตำแหน่งวิงแบ็กซ้าย

    ขณะที่ในแนวรุก รีอาน บรูว์สเตอร์ จะได้ลงสนามเป็นตัวจริงเผชิญหน้ากับต้นสังกัดเก่า ซึ่งไวล์เดอร์ก็หวังว่าบรูว์สเตอร์จะงัดฟอร์มเก่งออกมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เจ้านายเก่า รู้สึกว่า เขาคิดผิดที่ปล่อยตัวแข้งรายนี้ออกจากทีม

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, ฟาบินโญ่, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – ติอาโก้ อัลกันตาร่า, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี เกอิต้า – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่
    ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์

    เชฟฯ ยูไนเต็ด (3-5-2) : อารอน แรมส์เดล – คริส บาแชม, อีธาน อัมปาดู, จอห์น เอแกน – จอร์จ บัลด็อค, จอห์น ลุนด์สแตรม, โอลิเวอร์ นอร์วู้ด, ซานเดอร์ เบิร์ก, เอ็นดา สตีเว่นส์ – โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่, รีอาน บรูว์สเตอร์
    ผู้จัดการทีม : คริส ไวล์เดอร์

    ผู้ตัดสิน : ไมค์ ดีน