สิงห์ระวังคาวานี่! 5 ประเด็นเด็ดก่อนบิ๊กแมตช์แมนยูปะทะเชลซี

ศึกพรีเมียร์ลีกคืนนี้มีระอุเมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งกลับมาฟอร์มเข้าฝักในสองเกมหลังสุด เตรียมเปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด รับการมาเยือนของ เชลซี ที่ผลงานยังขึ้นๆลงๆ ต้องรอติดตามกันว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะมีไม้เด็ดพิชิตคู่แข่งยังไงในคืนนี้ แต่ก่อนเกมมาเกาะติดประเด็นที่น่ารู้กัน
1.คาวานี่เดบิวต์

 

    การจบฤดูกาลที่แล้วด้วยการยิงถึง 23 ประตูในทุกรายการเกือบทำให้แฟนผีเชื่อว่า อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล คือกองหน้าที่ทีมต้องการ อย่างไรก็ตามปัญหาสำคัญของสตาร์แมนฯ ยูไนเต็ดรายนี้คือความสม่ำเสมอ

    “เขาเริ่มต้นฤดูกาลไม่ดีอีกแล้ว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงพูดตลอดว่าพวกเราต้องการกองหน้าหมายเลข 9 ระดับท็อปคลาส” พอล สโคลส์ ตำนานแข้งผีแดงกล่าว ฤดูกาลนี้ มาร์กซิยาล ยังคงยิงประตูไม่ได้แถมผลงานในสนามยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ตัวอย่างมีให้เห็นได้ชัดในเกมล่าสุดกับ เปแอสเช

    โซลชา รู้ดีว่าเขาจำเป็นต้องมีกองหน้าเบอร์ 9 จอมถล่มตาข่ายหาก แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการให้ซีซั่นนี้กลับมาอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็น และการที่ มาร์กซิยาล โดนโทษแบนอยู่น่าจะเป็นโอกาสดีที่ เอดินสัน คาวานี่ กองหน้าวัยเก๋าที่เซ็นสัญญามาในตลาดนักเตะวันสุดท้ายจะได้พิสูจน์ตัวเองเสียที

    หัวหอกชาวอุรุกวัยมีสถิติยิงประตูใส่ เชลซี ทั้งหมด 3 ลูกจาก 8 เกม หากไม่ใช่เรื่องปัญหาความฟิต คงไม่มีเหตุผลอื่นแล้วที่ โซลชา จะไม่ส่งเขาลงตัวจริงในเกมนี้

2.ตวนเซเบ้ลงต่อ?

    หลังจาก อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์กับ แอสตัน วิลล่า ในฤดูกาล 2018/19 เจ้าตัวก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมาแย่งตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กตัวจริงของ “ผีแดง” ให้ได้ แต่ทว่าฤดูกาล 2019/20 กลับกลายเป็นฝันร้ายของเขาอย่างแท้จริง

    แม้จะมีผลงานที่น่าประทับใจอยู่หลายเกมแต่เขาโชคร้ายที่ต้องเจอกับอาการบาดเจ็บแฮมสตริงอยู่ตลอด โดยนับตั้งแต่เกม คาราบาว คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศกับ โคลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงเดือนธันวาคมปีก่อน เขาก็ไม่ได้กลับมาลงสนามให้ทีมชุดใหญ่อีกเลยจนกระทั่งฤดูกาลนี้โชคชะตาเริ่มเข้าข้างเมื่อ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ เอริก ไบยี่ ต่างไม่พร้อมในเกมดวล เปแอสเช นั่นทำให้เขาได้กลับมาลงสนามในรอบ 10 เดือน

    ผลงานสุดโดดเด่นในการจัดการ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ แบบอยู่หมัดจนได้รับคำชมล้นหลามทำให้แฟนผีหลายคนเชียร์ให้ ตวนเซเบ้ ลงแทนที่ของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มตกอย่างหนัก แต่ก็ต้องอย่าลืมว่านักเตะเพิ่งหายจากการบาดเจ็บยาว การโหมใช้งานอาจจะมีผลลพัธ์ออกมาไม่ดี ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วกับ เอริก ไบยี่ ที่บาดเจ็บไปแล้วอีก 3-4 สัปดาห์ ต้องรอดูกันว่า โซลชา จะให้เขาลงเล่นต่อเนื่องหรือไม่?

3.ถึงเวลาซีเย็คตัวจริง?

    ฮาคิม ซีเย็ค เซ็นสัญญาเข้ามาร่วมทัพ เชลซี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปีกชาวโมร็อกโกเดินทางมาที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ช้ากว่ากำหนดเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า แถมเจ้าตัวดันโชคร้ายต่อเนื่องเมื่อได้รับบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่องกับ ไบรท์ตัน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม

    หลังจากวันนั้นเขาลงสนามเพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น โดยลงมาในฐานะตัวสำรองสองนัดหลังสุด (เซาธ์แฮมป์ตัน, เซบีย่า) รวมเป็นเวลาทั้งหมด 46 นาที แฟร้งค์ แลมพาร์ด ดูจะยังไม่เร่งใช้งานมากนักแต่ในคืนนี้มีโอกาสอยู่เหมือนกันที่เขาจะออกสตาร์ทตัวจริงเป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก

    น่าสนใจว่ากุนซือ “สิงห์บลูส์” จะจัดใครลงสนามเพราะว่าตัวเลือกในแนวรุกมีมากทีเดียว ที่แน่นอนคือ ติโม แวร์เนอร์ คงจะยึดหน้าเป้าเช่นเดิมพร้อมมีกองกลางตัวสนับสนุนอย่าง ไค ฮาแวร์ทซ์ ขณะที่ตัวรุกฝั่งขวา คริสเตียน พูลิซิช คงไม่พลาดออกสตาร์ทตัวจริง

    ดังนั้นตำแหน่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับ ซีเย็ค คือตัวรุกฝั่งซ้าย นั่นหมายความว่า เมสัน เมาน์ท ที่ลงสนามมาตลอดอาจถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง แต่คงต้องดูการตัดสินของ แลมพาร์ด ในคืนนี้อีกครั้ง

4.คู่เซนเตอร์ที่กำลังตามหา

    คู่เซนเตอร์แบ็กกลายเป็นปัญหาหลักที่ แลมพาร์ด พยายามแก้ไขมาตั้งแต่เข้ามาคุมทีมเมื่อซัมเมอร์ปี 2019 คูร์ท ซูม่า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ ฟิกาโย โทโมริ เข้าๆออกๆทีมอยู่ตลอดขึ้นอยู่กับผลการแข่งขัน, ความผิดพลาด, ความฟิต และฟอร์มการเล่น

    แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า แลมพาร์ด จะหาเซนเตอร์แบ็กที่ลงตัวมากที่สุดได้แล้ว หลัง ซูม่า และนักเตะที่เซ็นสัญญาฟรีมาในช่วงซัมเมอร์อย่าง ติอาโก้ ซิลวา ทำผลงานได้ดี โดยทั้งสองเก็บคลีนชีทได้ในเกมพบ เซบีย่า 0-0 เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ที่ลงพร้อมกันยังไม่เสียประตูในเกมถล่ม คริสตัล พาเลซ 4-0 ​ด้วย

    ในเกมลีกล่าสุดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ซูม่า ได้ลงจับคู่กับ คริสเตนเซ่น แต่พวกเขาเสียถึง 3 ประตู นั่นเป็นเหตุผลมากขึ้นว่าทำไม ซิลวา ควรออกสตาร์ทตัวจริงพร้อมกับ ซูม่า ในคืนนี้

5.ผีข่มที่โอลด์แทรฟฟอร์ด

    ในยุคพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1992-93 หากนับรวมทุกรายการ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี เป็นทีมที่เจอกันมากที่สุดแล้ว โดยคืนนี้จะเป็นการเจอกันครั้งที่ 82

    ช่วงหลังมานี้ เชลซี มีสถิติในการเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ดีเท่าไหร่หลังไม่ชนะเลยใน 7 เกมลีกหลังสุด (เสมอ 4 แพ้ 3) ซึ่งนี่ถือเป็นการไร้ชัยที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ไม่ชนะ 16 เกมติดต่อกันช่วงระหว่างปี 1920-1957

    อย่างไรก็ตามฤดูกาลนี้ “ผีแดง” ลงเล่นในบ้านมา 2 นัดจบลงด้วยความพ่ายแพ้ทั้งสิ้น มีแค่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้คาบ้านสามเกมแรกในลีกนั่นคือฤดูกาล 1930-31 นอกจากนี้ครั้งสุดท้ายที่ “ผีแดง” แพ้คา โอลด์ แทรฟฟอร์ด 3 นัดต่อกันในลีกต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1979

ลิเวอร์พูลยัน!ฟานไดค์ต้องผ่าเข่า-ไม่รู้กำหนดคืนสนาม

แถลงการ์ ลิเวอร์พูล ยืนยัน เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการเหล็กเลือดดัตช์ ต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่า หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างเกมที่เสมอ เอฟเวอร์ตัน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่วนเรื่องการพักฟื้นยังไม่สามารถบ่งชี้ว่าจะนานแค่ไหน

ลิเวอร์พูล สโมสรขวัญใจมหาชนแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศยืนยันว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เซนเตอร์แบ็กจอมแกร่ง จะต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่า หลังจากนักเตะได้รับบาดเจ็บระหว่างเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2 เกมลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

แมตช์ที่สนามกูดิสัน พาร์ค ปราการหลังทีมชาติฮอลแลนด์ โดน จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูชาวอังกฤษ เข้าเสียบอย่างรุนแรงทั้งๆ ที่เกมเพิ่งจะผ่านไปแค่ 6 นาทีเท่านั้น ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนตัวออก และจากผลการสแกนระบุว่าเส้นเอ็นบริเวณหัวเข่าได้รับความเสียหาย

แถลงการณ์จาก "หงส์แดง" ระบุข่าวร้ายว่า ฟาน ไดค์ จะต้องเข้ารับการผ่าตัดแน่นอน ส่วนระยะเวลาในการฟื้นตัวยังไม่มีการบ่งชี้แน่ชัด "หลังจากการผ่าตัด ฟาน ไดค์ จะเริ่มเข้ารับสู่โปรแกรมการฟื้นฟูร่างกายกับทีมแพทย์ของสโมสรเพื่อที่เขาจะกลับมามีสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

ทั้งนี้ระยะเวลาในการพักฟื้นร่างกายจนกระทั่งกลับมาลงสนามยังไม่มีการระบุอย่างชัดเจน แต่ ลิเวอร์พูล คาดหวังว่า ฟาน ไดค์ ซึ่งมีสภาพความฟิตและจิตใจที่แข็งแกร่ง จะสามารถกลับมาฟื้นฟูร่างกายได้เร็วที่สุด

เลวานคัมแบ็ก! บาเยิร์นชุดใหญ่ยกทัพลุยบีเลเฟลด์เล็งขึ้นฝูง

"เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค เพิ่งลุยภารกิจบอลถ้วยมา เกมนี้กลับมาสู่เส้นทางป้องกันแชมป์ลีก จัด โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยืนหอกนำบุกถิ่น บีเลเฟลด์ น้องใหม่ที่ผลงานไม่แน่นอน ในการแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมัน คืนวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563

ปรีวิวบุนเดสลีกา เยอรมัน
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563
บีเลเฟลด์ (10) – บาเยิร์น มิวนิค (4)
เวลา : 23.30 น.
สนาม : ชูโก้ อารีน่า

น้องใหม่ บีเลเฟลด์ ของเทรนเนอร์ อูเว่ นอยเฮาส์ ที่ขึ้นชั้นฐานะแชมป์ลีกา 2 ผลงานล่าสุดในลีกสูงสุด บุกเสมอ แฟร้งเฟิร์ต 1-1 ชนะโคโลญจน์ 1-0 แพ้เบรเมน 0-1

สภาพทีมชวดใช้งาน นาธาน เด เมดิน่า (เข่า) และ อันเดรียส โฟกล์ชามเมอร์ (กระดูกเท้า) ทั้งคู่ ส่วน อาร์เน่ ไมเออร์ ที่ยืมมาจากแฮร์ธ่า เบอร์ลิน ต้องรอเช็กความฟิต โดยการจัดทัพยึดระบบ 4-3-3 ต่อไป แดนกลางให้ ริคสึ โดอัน ปั้นเกมร่วมกับ มาร์เชล ฮาร์เพิ่ล สามประสานแนวรุกจัด เซบิโอ ซูกู ฟาเบียน โคลส และ เซร์คิโอ คอร์โดบา คอยเข้าทำประตู

ด้านทัพ "เสือใต้" ของ ฮันซี่ ฟลิค ที่สร้างความยิ่งใหญ่ผงาดคว้า 5 แชมป์แบบฤดูกาลเดียว เพิ่งอัดชนะ ดือเรน 3-0 ศึกเดเอฟเบ โพคาล รอบแรก เมื่อวันพฤหัส สภาพทีมแข้งที่ยังชวดใช้งานคือ ด็องกี่ย์ เนียงซู (กล้ามเนื้อ) กับ ลีรอย ซาเน่ (เข่า) ทั้งคู่

ฟลิคจะกลับมาใช้แข้งชุดใหญ่เต็มสูบ คู่เซ็นเตอร์ใช้ ดาวิด อลาบา ยืนคู่ นิคลาส ซือเล่ แนวรุกสามประสาน โธผมัส มุลเลอร์ เลออน โกเร็ทซ์ก้า คอยปั้นเกม และมี แซร์จ นาบรี้ กับ คิงส์เล่ย์ โกมัน คอยลากเลื้อย แดนหน้า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ประจำการ

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

บีเลเฟลด์ (4-1-2-3): สเตฟาน ออร์เตก้า,เซดริก บรุนเนอร์,มิเค่ ฟาน เดอร์ ฮอร์น,อามอส พีเพอร์,อันเดอร์ลสัน ลูโคกี,มาร์เชล ฮาร์เพิ่ล,ริคสึ โดอัน,เซบิโอ ซูกู ,ฟาเบียน โคลส,เซร์คิโอ คอร์โดบา

บาเยิร์น มิวนิค (4-2-3-1): มานูเอล นอยเออร์,เบนฌาแม็ง ปาวาร์,นิคลาส ซือเล่,ดาวิด อลาบา,ลูกัส แอร์กน็องเดซ,โกร็องแต็ง โตลิสโซ่,โยชัว คิมมิช,แซร์จ นาบรี้,เลออน โกเร็ทซ์ก้า,คิงส์เล่ย์ โกมัน,โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

“อิมโมบิเล่” นำทัพลาซิโอรับมือดอร์ทมุนด์ที่มี “ฮาแลนด์” ตะบัน ศึกชปล.

 "อินทรีฟ้า-ขาว" ลาซิโอ แม้ผลงานในลีกจะไม่ดีเท่าไหร่นักแต่เกมแรกในการคัมแบ็กเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่ยอมแน่แม้จะเจอกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สามแต้มประเดิมสนามจะเป็นของฝั่งไหน ติดตามได้ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอฟ นัดแรก คืนวันอังคารนี้

ปรีวิวยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลุ่ม เอฟ
ลาซิโอ (อิตาลี) – ดอร์ทมุนด์ (เยอรมัน)
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม  2563  เวลา : 02.00 น.
สนาม : โอลิมปิโก 

สภาพทีมโดยทั่วไป 

    ลาซิโอ

    ซิโมเน่ อินซากี้ เทรนเนอร์ลาซิโอ พาทีมแพ้ซามพ์โดเรียยับ 0-3 ในเกมลีกล่าสุด ทำให้ไม่ชนะมา 3 เกมแล้ว 

    ความพร้อมเกมนี้ อินซากี้ จะไม่มีทั้ง เซนัด ลูลิช, อันเดรียส เปเรยร่า, ซิลวิโอ โปรโต้ และ สเตฟาน ราดู ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งหมด 

    ส่วน บาสโตส, ลุยซ์ เฟลิเป้ และ มานูเอล ลาซซารี่ ที่ไม่สมบูรณ์ ยังต้องรอทดสอบความฟิต แต่ข่าวดีคือจะได้ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ดาวยิงกัปตันทีมคนสำคัญ พ้นโทษแบนในลีกกลับมา 

    ขณะที่แกนหลักรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้, เวสลี่ย์ ฮูดท์, เซอร์เกจ์ มิลินโควิช-ซาวิช, ลูคัส เลวา, หลุยส์ อัลเบร์โต้ และ ฮัวกิน กอร์เรอา ต่างพร้อมช่วยทีมเหมือนเดิม 

    ดอร์ทมุนด์   

    ลูเซียง ฟาฟร์ เทรนเนอร์ดอร์ทมุนด์ พาทีมชนะฮอฟเฟ่นไฮม์ 1-0 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการคว้าชัย 2 นัดติด 

    สภาพทีมล่าสุด ฟาฟร์ ยังไม่มี มาร์เซล ชเมลเซอร์, นิโก้ ชูลซ์ และ ดาน-อักเซล ซากาดู ที่เดี้ยงอยู่ก่อนแล้วทั้งหมด

    ส่วน ลูคัสซ์ พิซเซ็ค ที่เดี้ยงเพิ่มมาจากเกมล่าสุด ต้องรอทดสอบความฟิต เช่นเดียวกับ ธอร์กกาน อาซาร์ ที่มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อรบกวน 

    บรรดาแกนหลักหลายรายที่ได้พักเมื่อสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นโรมัน บือร์กี้, มานูเอล อคานจี, จู๊ด เบลลิงแฮม, ราฟาแอล เกร์เรยโร่ และ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ ก็พร้อมคัมแบ็กทั้งหมด

นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม    

    ลาซิโอ (3-5-2) : โธมัส สตราโคช่า – ปาตริก, ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้, เวสลี่ย์ ฮูดท์ – มาร์โก ปาโรโล่, เซอร์เกจ์ มิลินโควิช-ซาวิช, ลูคัส เลวา, หลุยส์ อัลเบร์โต้, อดัม มูราซิช – ชิโร่ อิมโมบิเล่, ฮัวกิน กอร์เรอา

    เทรนเนอร์ : ซิโมเน่ อิซากี้ 

    ดอร์ทมุนด์ (3-4-2-1) : โรมัน บือร์กี้ – เอ็มเร่ ชาน, มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, มานูเอล อคานจี – โธมัส เมอนิเย่ร์, จู๊ด เบลลิงแฮม, อักเซล วิตเซล, ราฟาแอล เกร์เรยโร่ – เจดอน ซานโช่, โจวานนี่ เรย์น่า – เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์

    เทรนเนอร์ : ลูเซียง ฟาฟร์     

    ผู้ตัดสิน : กเลมงต์ ตูร์กแป็ง (ฝรั่งเศส) 

ผลการพบกันที่ผ่านมา 
วันเดือน/ปี รายการ ผลการแข่งขัน

12/08/18    กระชับมิตร (สนามกลาง)     ดอร์ทมุนด์ 1-0 ลาซิโอ 

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
ลาซิโอ

17/10/20 แพ้ ซามพ์โดเรีย 0-3 (เยือน) เซเรีย อา 
04/10/20 เสมอ อินเตอร์ มิลาน 1-1 (เหย้า) เซเรีย อา
01/10/20 แพ้ อตาลันต้า 1-4 (เหย้า) เซเรีย อา
26/09/20 ชนะ กายารี่ 2-0 (เยือน) เซเรีย อา
19/09/20 เสมอ เบเนเวนโต้ 0-0 (เหย้า) กระชับมิตร


    ดอร์ทมุนด์
17/10/20 ชนะ ฮอฟเฟ่นไฮม์ 1-0 (เยือน) บุนเดสลีกา
03/10/20    ชนะ ไฟร์บวร์ก 4-0 (เหย้า) บุนเดสลีกา
01/10/20    แพ้ บาเยิร์น 2-3 (เยือน) ซูเปอร์ คัพ
26/09/20    แพ้ เอาก์สบวร์ก 0-2 (เยือน) บุนเดสลีกา
19/09/20    ชนะ มึนเช่นกลัดบัค 3-0 (เหย้า) บุนเดสลีกา

ดิมาร์ซิโอแฉเมสซี่เกือบซบเชลซีค่าตัวสถิติโลก

จานลูก้า ดิ มาร์ซิโอ เหยี่ยวข่าวชื่อก้องแฉผ่านหนังสือของตัวเองว่า ลิโอเนล เมสซี่ เกือบจะได้ย้ายไปอยู่กับ เชลซี ในปี 2014 โดยตอนนั้น "สิงโตน้ำเงินคราม" จะจ่ายค่าตัวเท่ากับค่าฉีกสัญญาซึ่งสูงถึง 225 ล้านปอนด์เลย
  
ลิโอเนล เมสซี่ กองหน้าคนดังของ บาร์เซโลน่า สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเวที ลา ลีกา สเปน เกือบที่จะย้ายไปอยู่กับ เชลซี ในปี 2014 ตามการเปิดเผยของ จานลูก้า ดิ มาร์ซิโอ นักข่าวชื่อก้องชาวอิตาเลียน

ดิ มาร์ซิโอ เพิ่งออกหนังสือของตัวเองชื่อ "แกรนด์ โฮเตล กัลโช่แมร์คาโต้" (Grand Hotel Calciomercato) ซึ่งเป็นการบอกเล่าบรรดาเรื่องลับสุดยอดในตลาดการเสริมทัพ โดยเรื่องราวของ เชลซี กับ เมสซี่ นั้น เหยี่ยวข่าวเลือดมะกะโรนีบอกว่าการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มข้นเมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2014 โดยตอนนั้นดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์กำลังโดนรัฐบาลสเปนกล่าวหาว่าเลี่ยงภาษีอยู่พอดี และเรื่องดังกล่าวก็ทำให้ เมสซี่ ไม่พอใจกับรัฐบาลของแดนกระทิงดุมากๆ จนต้องการไปใช้ชีวิตในกรุงลอนดอน แถมเขายังสนใจที่จะไปเล่นให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" ในตอนนั้นด้วย

หลังจากได้หารือกับคนกลางหลายราย รวมถึงกับ เดโก้ อดีตเพื่อนร่วมทีมของเขาที่ตอนนี้ผันตัวไปเป็นเอเยนต์แล้วนั้น เมสซี่ ก็ได้พูดคุยกับ มูรินโญ่ แบบตัวต่อตัวผ่านทางแอพพลิเคชั่น เฟซไทม์ ซึ่งการสนทนาระหว่างทั้งคู่ก็เป็นไปได้ด้วยดีจนถึงขั้นที่แข้งวัย 33 ปีบอกกับทีมงานของเขาเลยว่า มูรินโญ่ จะช่วยให้ตนได้แชมป์ทุกรายการมาครอง "เขาเพิ่งคุยกับฉัน การได้ร่วมงานกับ มูรินโญ่ จะทำให้ฉันได้แชมป์ทุกรายการตามที่ฉันต้องการ เขาเป็นผู้ชนะที่แท้จริง ไปปิดดีลนี้ได้เลย"

ทั้งนี้ การย้ายทีมก็ทำท่าว่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีการตกลงเงื่อนไขส่วนตัวกันได้ด้วยดี โดยตอนนั้น เชลซี จะจ่ายค่าตัวให้กับ บาร์เซโลน่า 225 ล้านปอนด์ (ประมาณ 9,000 ล้านบาท) ซึ่งตรงกับค่าฉีกสัญญาของ เมสซี่ พร้อมกับจะทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ได้ย้ายทีมด้วยค่าตัวสูงเป็นสถิติโลก ขณะเดียวกัน เมสซี่ ก็จะได้ค่าเหนื่อยสูงถึง 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,000 ล้านบาท) ต่อซีซั่น แถมจะได้ส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์ทางภาพลักษณ์ตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์เลย โดยที่ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีม เชลซี กับ มูรินโญ่ มุ่งมั่นกับการทำดีลนี้ให้ได้มากๆ แต่การเจรจาทั้งหมดเกิดขึ้นโดยที่ ฮอร์เก้ คุณพ่อกับเอเยนต์ของ เมสซี่ ไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว

อย่างไรก็ตาม มันเกิดจุดเปลี่ยนในช่วงซัมเมอร์ของปี 2014 เมื่อ เชส ฟาเบรกาส มิดฟิลด์ที่ตอนนั้นเพิ่งย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไปอยู่กับ เชลซี นั้น เข้าไปพูดกับ มูรินโญ่ ในเชิงดีใจว่า เมสซี่ กำลังจะตามมาร่วมงานกับเขาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมบอกว่า เดโก้ ฝากมาบอกถึงเรื่องนี้กับ มูรินโญ่ เพราะกุนซือชาวโปรตุกีสไม่ได้รับสายของ เดโก้ เลย แต่ มูรินโญ่ ตอบไปว่า "ใช่ ฉันรู้ทุกอย่างแล้ว วันก่อนฉันถึงขั้นได้คุยกับ เมสซี่ ด้วยซ้ำ"

คำตอบดังกล่าวทำให้ เชส รู้ว่ามันหมายความว่า มูรินโญ่ กำลังเจรจากับ เมสซี่ โดยตรง โดยที่มองข้าม เดโก้ ทั้งที่ เดโก้ เป็นคนช่วยทำงานในตอนแรกๆ เพื่อให้ดีลนี้มีโอกาสเกิดขึ้น ซึ่ง เชส กับ เดโก้ ก็สนิทกันมากๆ จนทำให้มิดฟิลด์ชาวสแปนิชไปเตือนเรื่องดังกล่าวกับอดีตเพื่อนร่วมทีม และพอ เดโก้ รู้เรื่องนี้เขาก็ล้างแค้นด้วยการไปฟ้อง ฮอร์เก้ ว่าลูกชายของเขากำลังแอบเจรจากับ เชลซี อยู่

พอได้ยินอย่างนั้น ฮอร์เก้ ก็โมโหมากๆ จนโทรศัพท์ไปหาลูกชายเพื่อขอคำอธิบาย โดยที่ เมสซี่ พยายามแก้ตัวไปว่า "ผมไม่เห็นรู้เรื่องที่พ่อพูดเลยครับ ผมสาบานได้เลย" และสุดท้ายดีลดังกล่าวก็ล่มลง ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่แย่เท่าไหร่ของ เมสซี่ เพราะในฤดูกาล 2014-15 เขาก็ได้ทริปเปิ้ลแชมป์กับ บาร์เซโลน่า แล้วหลังจากนั้นก็คว้าแชมป์มาครองกับทีมได้อีกหลายรายการ

ดิ มาร์ซิโอ เผยว่าในปี 2013 เรอัล มาดริด เคยพยายามจะดึง เมสซี่ ไปร่วมทัพเหมือนกัน แต่ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ปฏิเสธทันควันเพราะไม่อยากหักหลัง บาร์เซโลน่า

 

แรชฟอร์ดชอบยิงสิงห์!เกร็ดน่ารู้เกมบิ๊กแมตช์”แมนยู VS เชลซี”

 ศึกลูกหนัง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่ที่น่าสนใจสุดในค่ำคืนนี้ หนีไม่พ้นเกมบิ๊กแมตช์ ณ สังเวียนแข้ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะดวลกับ เชลซี ซึ่งทาง "ปีศาจแดง" ก็มุ่งมันที่จะคว้าชัยชนะต่อเนื่อง หลังเกมล่าสุดบุกไปอัด นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ขณะที่ "สิงห์บลูส์" ก็หวังที่จะกลับมาสู่เส้นทางแห่งชัยชนะ หลังสุดสัปดาห์ก่อนทำได้แค่เปิดบ้านเจ๊า เซาธ์แฮมป์ตัน 3-3 โดยมาเสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และนี่คือเกร็ดน่าสนใจเล็กๆ น้อยๆ ก่อนเกม
 เฮด-ทู-เฮด
 – หาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะได้ ก็จะกลายเป็นครั้งแรกของพวกเขานับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 1965 (ยุคกุนซือ เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้) ที่ชนะ เชลซี ในลีกได้ 3 นัดติด
 – เชลซี บุกไปเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม พรีเมียร์ลีก ไม่ได้มา 7 นัดติด (เสมอ 4, แพ้ 3) ซึ่งถือเป็นการคว้าชัยเกมลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด์ ไม่ได้ยาวนานสุดของพวกเขา นับตั้งแต่ที่เคยไร้ชัย 16 นัดติด ช่วงระหว่างเดือนกันยายน ปี 1920 ถึง เดือนมกราคม ปี 1957
 – อย่างไรก็ตาม เชลซี เป็นเพียงสโมสรเดียวที่มีสถิติชนะมากกว่าแพ้ ในการดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยุค พรีเมียร์ลีก (เชลซี ชนะ 18 ครั้ง, แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 17 ครั้ง)

 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
 – หากแพ้เกมนี้ ก็จะถือเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์สโมสร ที่ออกสตาร์ตเกมลีก 3 นัดแรกที่บ้านของฤดูกาล และแพ้รวด โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1930 ซึ่งซีซั่นนั้น (1930/31) "ปีศาจแดง" จบด้วยการครองบ๊วย
 – หนล่าสุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้เกมลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 3 นัดติด เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1979
 – ถ้าไม่ชนะเกมนี้ ก็จะทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชนะเกมลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 5 นัดติด (รวม 2 นัดจากซีซั่นที่แล้ว) ซึ่งจะกลายเป็นสถิติใหม่ของสโมสรทันที
 – บรูโน่ แฟร์นันด์ส จอมทัพเลือดฝอยทอง มีส่วนร่วมกับการทำประตูถึง 20 ลูก (ยิง 11, แอสซิสต์ 9) จากการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก 18 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่เหนือกว่าผู้เล่น "ปีศาจแดง" ทุกคน นับตั้งแต่ที่เขาลงเล่นนัดแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
 – มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าความเร็วสูง ทำไปถึง 4 ประตู จาก 3 เกมหลังสุดที่เจอกับ เชลซี (รวมทุกรายการ) ซึ่งก็รวมถึงการเหมาสองตุงในเกมเปิดซีซั่นก่อน แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่ต้อน "สิงห์บลูส์" 4-0
 – นอกจากนี้กุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีสถิติคุมทีมชนะ 4 จาก 6 นัดที่เจอกับ เชลซี (เสมอ 1, แพ้ 1)
 

 เชลซี
 – เชลซี เสมอ 4 จาก 8 เกมที่ลงเตะรวมทุกรายการในซีซั่นนี้ (ชนะ 3, แพ้ 1)
 – "สิงห์บลูส์" คว้าชัยได้ถึง 5 ครั้ง จากการลงเตะเกมเยือนในศึก พรีเมียร์ลีก 6 นัดแรกยุคกุนซือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ทว่า 15 นัดหลังจากนั้น พวกเขาเก็บชัยชนะได้แค่ 5 หน (เสมอ 4, แพ้ 6)
 – เชลซี ยุค แลมพาร์ด เสียประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ไปถึง 63 ลูก จากการลงเตะ 43 นัด โดยเฉลี่ยตกนัดละ 1.5 ลูก ซึ่งถือเป็นเรตที่เลวร้ายที่สุดเหนือกุนซือ เชลซี ทุกคนในประวัติศาสตร์สโมสร (นับเฉพาะกุนซือที่คุมถาวร)
 – นอกจากนี้ นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว เชลซี เสียประตูเกมเยือนในศึก พรีเมียร์ลีก ไปแล้วถึง 42 ลูก ซึ่งมากกว่าทุกทีมในลีก
 – นับเฉพาะปี 2020 มีเพียงแค่ อาร์เซน่อล (15 แต้ม) เท่านั้น ที่ทำคะแนนหลุดมือจากสถานการณ์ที่กำลังจะชนะ มากกว่า เชลซี (13 แต้ม)
 – นับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลที่แล้ว ติโม แวร์เนอร์ หัวหอกเลือดเบียร์ ทำประตูในเกมลีกไปแล้วถึง 30 ลูก ซึ่งในบรรดา 5 ลีกใหญ่ยุโรป เขาเป็นรองเพียงแค่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (บาเยิร์น มิวนิค), ชิโร่ อิมโมบิเล่ (ลาซิโอ) และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (ยูเวนตุส) เท่านั้น

บรูโน่บอดโทษแต่โชว์โหด! 6 ประเด็นร้อนหลังแมนยูบุกถลุงนิวคาสเซิ่ล

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาคืนฟอร์มได้สำเร็จหลังบุกถล่ม นิวคาสเซิ่ล ขาดลอยถึง 4-1 โดยเกมนี้ "ผีแดง" เป็นฝ่ายที่ครองเกมเหนือกว่ามากและมีโอกาสยิงถึง 28 ครั้งเลยทีเดียว แต่ความจริงลูกทีมของ โซลชา มาได้ 3 ประตูรวดในช่วงท้ายเกม ขณะที่ "สาลิกาดง" นอกจากได้ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด แล้วก็ไม่ได้สร้างความอันตรายให้กับผู้มาเยือนเลยจนสุดท้ายต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด เราสรุปประเด็นเกิดขึ้นในเกมนี้มาให้ทุกท่านแล้ว

1.บรูโน่ดีไม่สุดแต่ยังฉายแสง
แม้ว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะยิงจุดโทษพลาดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด (ยิง 10 ครั้ง พลาด 1 ครั้ง) แต่เจ้าตัวยังโชว์ให้เห็นถึงการมีอิทธิพลในแนวรุกของทีมเป็นอย่างมาก

มันค่อนข้างนานมาแล้วที่ บรูโน่ จะทำผลงานน่าประทับใจตลอดทั้ง 90 นาที และสำหรับเกมนี้เขาก็เป็นเช่นนั้น มองดูสถิติแล้วเขามีเปอร์เซ็นต์จ่ายบอลแม่นยำน้อยที่สุดในทีม (80%) เราจะเห็นเขาออกบอลได้-เสียอยู่หลายครั้งซึ่งผลลัพธ์ส่วนใหญ่จะออกมาทางจ่ายเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม บรูโน่ มีสถิติสร้างโอกาสทำประตูถึง 6 ครั้ง และยังมายิงประตูท้ายเกมบวกกับแอสซิสต์ให้ แรชฟอร์ด กดประตูปิดกล่อง ถือว่าฉายแสงเลยทีเดียว มีนักเตะ “ผีแดง” น้อยคนนักที่จะยิงประตูในวันที่เล่นไม่เพอร์เฟคแต่ บรูโน่ สามารถทำแบบนั้นได้และสิ่งนี้ก็ช่วย แมนฯ ยูไนเต็ด เอาตัวรอดมาหลายครั้ง

2.กัปตันเรียกความมั่นใจ

กัปตันทีม แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เริ่มต้นฤดูกาลนี้ด้วยฟอร์มที่ย่ำแย่ ทั้งก่อความผิดพลาดจนเสียหลายประตู รวมถึงการโดนใบแดงในเกมชาติที่ผ่านมาด้วย ก่อนเกมนี้ ริโอ เฟอร์ดินาน และแฟนบอลหลายคนมองว่าปราการหลังรายนี้ควรถูกดร็อปเพื่อกลับไปคิดทบทวนฟอร์มการเล่นของตัวเองรวมถึงให้พักผ่อนหลังจาก โซลชา ใช้งานมาหนักตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม็กไกวร์ ยังได้รับความไว้วางใจจาก โซลชา หลังมีชื่อออกสตาร์ทตัวจริงในเกมนี้ และเขาก็ตอบแทนกุนซือด้วยการโหม่งประตูตีเสมอ นิวคาสเซิ่ล ให้ทีมกลับสู่เกมได้เร็วในครึ่งเวลาแรก ส่วนในเรื่องเกมรับอาจมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยแต่โดยรวมถือว่าช่วยทีมได้เยอะ ประตูนี้น่าจะเป็นการเรียกความมั่นใจของเจ้าตัวกลับมา แฟนผีก็คงหวังว่าจะได้เห็น แม็กไกวร์ แบบในช่วงที่เขาเก็บคลีนชีทติดๆกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

3.วาน-บิสซาก้าเปิดซิงยิง

เกมรุกทางฝั่งขวาของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องพึ่ง อารอน วาน-บิสซาก้า เป็นหลัก เนื่องจาก “ผีแดง” ยังไม่มีปีกขวาธรรมชาติที่พึ่งพาได้เข้ามาในทีม เกมนี้ ฆวน มาต้า ยืนทางปีกขวาก็จริงแต่เขามักจะเลี้ยงตัดเข้าด้านในเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเกมรุกทางริมเส้นฝั่งขวาจะเหลือแค่ วาน-บิสซาก้า คนเดียว

แต่อย่างที่เราทราบกันว่าอดีตแบ็กขวาพาเลซโดดเด่นในเรื่องเกมรับมากกว่า นั่นทำให้ประสิทธิภาพเกมรุกทางฝั่งขวาของทีมนั้นด้อยลงไป อย่างไรก็ตามเขายังพอมีพิษสงอยู่บ้าง และเกมนี้เจ้าตัวมาเปิดซิงยิงประตูแรกกับ แมนฯ ​ยูไนเต็ด ด้วยการซัดเต็มข้อเสียบสามเหลี่ยมอย่างสวยงาม ฉลองการลงเล่นครบ 50 นัดกับต้นสังกัดพอดี ถือเป็นสัญญาณที่ดีมากขึ้นกับการปรับปรุงเกมรุกของเขา

4.มาต้าโดดเด่น

เมื่อทีมขาดตัวรุกทางฝั่งขวาอย่าง เมสัน กรีนวู้ด ที่บาดเจ็บ เลยกลายเป็นประเด็นว่า โซลชา จะเลือกใครลงสนามแทน ซึ่งต้องบอกว่ากุนซือ “ผีแดง” จิ้มเลือกได้เหมาะสมทีเดียว

ฆวน มาต้า ออกสตาร์ทตัวจริงแบบเซอร์ไพรส์อยู่พอสมควร แต่ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาทำผลงานได้ดีในศึกคาราบาว คัพหลังยิง 1 จ่าย 1 ในเกมพบ ไบรท์ตัน จึงเป็นโอกาสของ มาต้า ในการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง และเขาทำได้ดีทีเดียว

แนวรุกชาวสเปนิชมีส่วนกับเกมรุกตลอด ความจริงเขาน่าได้แอสซิสต์ตั้งแต่จ่ายให้กับ บรูโน่ ทำประตูแล้วแต่น่าเสียดายที่เป็นจังหวะล้ำหน้า ทว่าต่อมาเจ้าตัวยังมาเปิดเตะมุมสุดแม่นยำให้ แม็กไกวร์ โขกตีเสมอ

เกมนี้ จามาล ลูอิส แบ็กขวานิวคาสเซิ่ลปั่นป่วนมากกับการเคลื่อนที่ของ มาต้า ทั้งการตัดเข้าตรงกลาง, ดร็อปต่ำรับบอล และ วิ่งตัดหลัง เขายังมีส่วนจ่ายบอลทำเกมรุกให้เกิดประตูที่ 3 ด้วย เป็นฟอร์มที่เราไม่ได้เห็นมานานของ มาต้า เชื่อว่าเขาจะกลับมาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในแคนดิเดตแนวรุกฝั่งขวาอีกครั้ง

5.แรชฟอร์ดเปรี้ยงท้ายเกม

มาร์คัส แรชฟอร์ด กลับมาสวมบทบาทกองหน้าตัวเป้าอีกครั้งหลังจาก อ็องโตนี่ มาร์ซิยาล ติดโทษแบน ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ กองหน้าตัวใหม่ของทีมยังไม่สามารถลงสนามได้เนื่องจากอยู่ในช่วงกักตัว

โดยรวมแล้วเกมนี้ถือว่าสอบผ่าน แม้ว่าจะใช้โอกาสยิงค่อนข้างเปลือง (โอกาสยิง 7 ครั้ง เข้ากรอบ 4 ครั้ง) แต่เจ้าตัวมาโชว์ฟอร์มโดดเด่นในช่วงท้ายเกม ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายให้ บรูโน่ ยิงประตูแซงนำ, เรียกจุดโทษให้กับทีม, ทำชิ่งหนึ่งสองให้ วาน-บิสซาก้า ยิงประตู ปิดท้ายด้วยการหลุดเดี่ยวไปซัดประตูปิดกล่อง ถือเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลได้ใช้ได้ทีเดียวกับการยิง 2 จ่าย 2 จากการลงเล่น 4 นัดแม้ว่าฟอร์มอาจจะยังไม่ได้เปรี้ยงถึงที่สุดก็ตามแต่ถือว่าดีกว่าเพื่อนร่วมทีมอย่าง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล

6.เอาชัยก่อนโปรแกรมหนัก

นี่เป็นชัยชนะครั้งที่สองของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้พร้อมกับขยับขึ้นอันดับที่ 14 ของตาราง นักเตะและตัวกุนซือตอบสนองได้ดีหลังจากพ่ายแพ้คาบ้านมาอย่างยับเยินเมื่อนัดที่แล้ว เกมที่ต้องคว้าสามแต้มสถานเดียวและทีมสามารถทำได้ตามเป้าหมายก็ต้องให้เครดิตกับน้าโอเล่ด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ “ผีแดง” จะเข้าสู่ช่วงโปรแกรมสุดหินแล้ว

3 เกมลีกต่อไป แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องทำศึกหนักทั้งหมด โดยเริ่มจากการเปิดบ้านรับการมาเยือนของสองยอดทีมแห่งลอนดอนนั่นคือ เชลซี และ อาร์เซน่อล ก่อนจะต้องออกไปเยือนทีมฟอร์มร้อนแรงของฤดูกาลนี้อย่าง เอฟเวอร์ตันด้วย นอกจากนี้ช่วงกลางสัปดาห์ของแต่ละอาทติย์ โซลชา ยังต้องลุยศึก ชปล. อีกโดยจะเริ่มจากวันอังคารนี้ที่บุกเยือนของแข็งอย่าง เปแอสเช และยังต้องดวลกับ ไลป์ซิก และ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ด้วย งานนี้ โซลชา จะเซฟเก้าอี้ไหวหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ 6 นัดที่กล่าวมานี้แหละ

หวั่นจะผิดกฏ!ระยองขอถก ส.บอลประเด็นแข้งหมดสัญญาต.ค.นี้

"ระยอง เอฟซี" ขอถก ส.บอลฯ กรณีจะมีนักเตะ 2-3 รายในทีม หมดสัญญาสิ้นเดือน ต.ค.63 แต่เดือนต่อไป พ.ย.63 หากการต่อสัญญายังไม่แล้วเสร็จ จะยังมีชื่ออยู่ในทีมต่อไปจะเป็นไรไหม หวั่นจะผิดกฏคลับไลเซนซิ่งหรือไม่ พร้อมเผย เรื่องเงินเดือนนักเตะ ยังไม่ครบก็จริง แต่จะทะยอยจ่ายให้ครบ แจงชัดตอนนี้ก็แย่เหมือนกัน

"ม้านิลมังกร"ระยอง เอฟซี น้องใหม่แห่งไทยลีก2020-21 ที่ขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดฤดูกาลแรกก็เจอปัญหาจากวิกฤต โควิด-19 จนทำให้ทีมมีปัญหาเรื่องการขาดสภาพคล่องทางการเงินทันที ล่าสุดผู้สื่อข่าวสอบถาม "สจ.อดุลย์ นิยมสมาน" รองประธานสโมสรระยอง เอฟซี ที่เผยถึงเรื่องนักเตะในทีมว่า

"ตอนนี้ทางสโมสรกำลังเร่งคุยกับทาง ส.บอลฯ เกี่ยวกับเรื่องนักเตะในทีม ซึ่งจะมีประมาณ 2-3 รายที่สัญญาเขาจะหมดลงในช่วงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเราก็เกรงว่าหากการต่อสัญญายังไม่คืบหน้า หรือยังไม่มีการต่อสัญญาในช่วงที่เข้าสู่เดือนพฤศจิกายน ไทยลีกยังไม่ปิดเลก ยังไม่เข้าสู่ตลาดเปิดช่วงพักเลก หากชื่อพวกเขายังอยู่ในทีม หากกรณีที่เขาจะลงเล่นให้กับระยอง เอฟซี จะผิดเรื่องกฏกติกาคลับไลเซนซิ่งด้วยหรือไม่ โดยเราจะขอความชัดเจนจาก ส.บอลฯ อีกครั้ง"

ทั้งนี้ สจ.อดุลย์ นิยมสมาน รองประธาน ระยอง เอฟซี ยังได้เผยกับผู้สื่อข่าวอีกว่า "ทีมยังมีปัญหาเรื่องสปอนเซอร์ เรื่องงบประมาณทำทีมอยู่ในตอนนี้ เรื่องเงินเดือนนักเตะในทีมที่เป็นข่าว ซึ่งเงินเดือนเงินอาจจะยังไม่ครบ แต่ขอยืนยันว่าฝ่ายบริหารจะแก้ไขเรื่องนี้ และจะทะยอยจ่ายให้ครบ"

ไม่เหลือหลังแล้ว?เผยภาพ “มาติป” เข้าโรงหมอสแกนเจ็บ

สื่อดังรายงาน โฌแอล มาติป กองหลังลิเวอร์พูล เข้ารับการตรวจหาอาการบาดเจ็บในโรงพยาบาลท้องถิ่นหลังเกมเสมอ เอฟเวอร์ตัน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยงานนี้้ต้องลุ้นว่านักเตะจะฟิตทันช่วยทีมในแมตช์ดวล อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้หรือไม่
   
โฌแอล มาติป เซนเตอร์แบ็กชาวแคเมอรูนของ ลิเวอร์พูล ต้องเข้ารับการสแกนอาการบาดเจ็บหลังจบเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์เสมอ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน 2-2 ที่สนามกูดิสัน พาร์ค เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จากการรายงานของ เดอะ ไทม์ส สื่อดังในประเทศอังกฤษ

"หงส์แดง" กำลังอยู่ในช่วงวิกฤติเกมรับอย่างหนักเมื่อพวกเขาจะไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทำหน้าที่เป็นแกนหลักในแผงแบ็กโฟร์เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดเอ็นหัวเข่าหลังจากได้รับบาดเจ็บหนักในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าจะต้องพักรักษาตัวนานหลายเดือนเลยทีเดียว

กรณีของ ฟาน ไดค์ ยังไม่ทันหาย ลิเวอร์พูล ต้องมาเจอความเซ็งเข้ามาแทรกอีกเมื่อ มาติป ซึ่งเพิ่งจะกลับลงสนามในเกมล่าสุด ก็มีปัญหาบาดเจ็บเช่นกัน โดยมีคลิปวีดิโอว่อนไปทั่วสื่อสังคมออนไลน์แสดงให้เห็นว่า กองหลังวัย 29 ปี เข้าไปตรวจร่างกายในโรงพยาบาลท้องถิ่นหลังจบแมตช์กับเพื่อนบ้านสุดที่รัก ซึ่ง ฟาน ไดค์ และ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ก็เข้ารับการสแกนที่นั่นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม "เดอะ ไทม์ส" รายงานว่า มาติป เข้ารับการสแกนอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ กระนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" น่าจะสบายใจอยู่ได้บ้างเนื่องจากทีมแพทย์ระบุว่าไม่พบปัญหาบาดเจ็บที่รุนแรงอะไร แต่ตอนนี้ต้องขึ้นอยู่กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ว่าจะตัดสินใจเสี่ยงส่ง มาติป ลงสนามในเกมพบ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือไม่

ทั้งนี้หาก มาติป ไม่สามารถลงสนามได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่ ฟาบินโญ่ จะถูกเลือกให้ลงมาทำหน้าที่เป็นเซนเตอร์แบ็กจำเป็นคู่กับ โจ โกเมซ แต่ คล็อปป์ ยังมีทางเลือกอื่นด้วยการส่ง นาธานเนี่ยล ฟิลลิปส์, ไรส์ วิลเลี่ยมส์, เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก และ บิลลี่ คูเมติโอ ลงสนามก็เป็นได้

 

เกมมันส์แต่..?!กล้องจับภาพแข้งลิเวอร์พูลหลับคาม้านั่งสำรอง

เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ เกมล่าสุดถือว่าความมันส์อยู่ในระดับ 5 ดาว มีประตูเกิดขึ้นถึง 4 ลูกและมีใบแดงในช่วงท้าย อย่างไรก็ตาม ในความมันส์นั้นกลับมีผู้เล่นตัวสำรองของฝั่งทีมเยือนหนึ่งรายถูกจับภาพได้ว่าหลับคาม้านั่งสำรอง

ในขณะที่สกอร์การแข่งขันอยู่ที่ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายนำ เอฟเวอร์ตัน 2-1 ในนาทีที่ 79 ทว่ากล้องถ่ายทอดของ บีที สปอร์ต จับภาพไปทาง เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ’หงส์แดง’ แล้วดันติดภาพของ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูดาวรุ่งวัย 21 ปีแอบงีบหลับอยู่ด้านหลัง

ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่นาที ‘ทอฟฟี่สีน้ำเงิน’ มาได้ประตูตีเสมอ 2-2 จากลูกโขกของ โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน ในนาทีที่ 81

โดยทาง บีที สปอร์ต ได้โพสต์ทวิตเตอร์อำนายด่านดาวรุ่ง ลิเวอร์พูล พร้อมแคปชั่นว่า "เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ หนนี้มันน่าเบื่อไปนิดๆ จน ควีวีน เคลเลเฮอร์ ทนไม่ไหว"