แฟนผี,ปืนรอชม!จับตา5แข้งดังเปิดซิงกับต้นสังกัดใหม่สุดสัปดาห์นี้

ตลาดซื้อ-ขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป มีนักเตะชื่อดังมากมายที่ตบเท้ามาค้าแข้งในเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งก็มีหลายคนที่้เราได้ยลฝีเท้ากันไปแล้ว อาทิเช่น ติโม แวร์เนอร์, ไค ฮาแวร์ตซ์, ดอนนี่ ฟาน เดอร์ เบ็ค และ ติอาโก้ อัลกันตาร่า แต่ก็ยังมีอีกหลายคนเช่นกันที่รอวันเปิดซิง เพราะดันมีโปรแกรมเกมทีมชาติมาขั้นกลางเสียก่อน ทว่าสุดสัปดาห์นี้เกม พรีเมียร์ลีก จะกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง และนี่คือ 5 นักเตะดาวดังที่อาจได้ลงเปิดซิงกับต้นสังกัดใหม่ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี

– โธมัส ปาร์เตย์ (อาร์เซน่อล)

นี่คือการเซ็นสัญญาที่สาวก "เดอะ กันเนอร์ส" ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่ อาร์เซน่อล ปิดดีลคว้าตัวมาจาก แอตเลติโก มาดริด ได้สำเร็จ ทันเดดไลน์ปิดตลาดพอดี เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม แน่นอนว่า ปาร์เตย์ ถูกคาดหวังไว้สูงมากๆ ในการเข้ามาช่วยยกระดับแดนกลางของทีม ซึ่งก็มีโอกาสไม่น้อยที่กุนซือ มิเกล อาร์เตต้า จะเลือกใช้บริการฝีเท้าของเจ้าตัวทันที ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือส่งลงสำรอง ในเกมบิ๊กแมตช์ที่ อาร์เซน่อล มีคิวบุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันเสาร์นี้ และด้วยการที่เจอกับทีมแกร่งอย่าง "เรือใบสีฟ้า" มันจึงน่าจะเป็นบททดสอบที่ดีไม่น้อยสำหรับนักเตะค่าตัว 45 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,845 ล้านบาท) 

 – อเล็กซ์ เตลลิส (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

อาจเป็นซัมเมอร์ที่สโมสรเสริมทัพได้ไม่ค่อยโดนใจสาวก "เร้ด อาร์มี่" แต่ เตลลิส ถือเป็นนักเตะฝีเท้าดีที่น่าจะคาดหวังได้ หลังจากที่เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ ปอร์โต้ และเกมบุกไปเยือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่สังเวียนแข้ง เซนต์ เจมส์ พาร์ค วันเสาร์นี้ มีแนวโน้มสูงไม่น้อยเลยที่กุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะส่งฟูลแบ็กชาวบราซิเลียนวัย 27 ปี สู่ทีมตัวจริงทันที หลังจากที่ ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายเลือดผู้ดี ทำผลงานได้น่าผิดหวังในเกมล่าสุดที่พ่ายยับต่อ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-6 คารัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว

 – ริอาน บรูว์สเตอร์ (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด)

 บรูว์สเตอร์ ไม่ใช่นักเตะหน้าใหม่ในเวที พรีเมียร์ลีก แต่เขาไม่เคยได้ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก เลย ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่อยู่ในทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล เพราะฉะนั้นการย้ายมาร่วมทีม เชฟฯ ยูไนเต็ด ครั้งนี้ เจ้าตัวมีความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะพิสูจน์ฝีเท้าของตัวเอง และด้วยค่าตัวระดับ 23.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 963.5 ล้านบาท) เขาคงไม่ถูกเซ็นมาเพื่อนั่งสำรองแน่ ดังนั้นกุนซือ คริส ไวล์เดอร์ น่าจะให้โอกาส หัวหอกวัย 20 ปี ได้สร้างความมั่นใจในเกมวันอาทิตย์นี้ ที่ทัพ "ดาบคู่" มีคิวเปิดรัง บรามอลล์ เลน รับมือทีมอันดับสุดท้ายอย่าง ฟูแล่ม

  – รูเบน ลอฟตัส-ชีค (ฟูแล่ม)

ไม่ต่างกับ บรูว์สเตอร์ เพราะ ลอฟตัส-ชีค เองก็มีความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ฝีเท้าเช่นกัน หลังจากที่กลายเป็นแข้งส่วนเกินในทีม เชลซี ยุคกุนซือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด แถมเจอปัญหาบาดเจ็บรุมเร้ามาตลอดช่วง 2 ฤดูกาลหลังสุด ดังนั้นการย้ายมาร่วมก๊วน "เจ้าสัวน้อย" ภายใต้สัญญายืมตัวครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับ มิดฟิลด์ร่างใหญ่วัย 24 ปี ที่จะได้ทำผลงาน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่า เขาไม่ใช่อีกหนึ่งแข้งที่เคยเป็นดาวรุ่งของอังกฤษ แต่กลับไปไม่สุด และเกมวันอาทิตย์นี้ ที่ ฟูแล่ม มีคิวบุกไปเยือน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เขามีแววที่จะถูกส่งลงสนามตั้งแต่วินาทีแรกเลย

 – แกเร็ธ เบล (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์)

หลังปิดดีลย้ายกลับมาจาก เรอัล มาดริด ด้วยสัญญายืมตัว 1 ซีซั่น ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่แล้ว เชื่อเหลือเกินว่า แฟนๆ "ไก่เดือยทอง" ต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ที่จะได้เห็น เบล กลับมาลงสนามภายใต้ยูนิฟอร์มของ สเปอร์ส เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ทว่าด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่พร้อม ทำให้ เบล ลงเล่นไม่ได้ตลอดช่วงหลายเกมที่ผ่านมา แต่เกมในวันอาทิตย์นี้ ที่ สเปอร์ส มีโปรแกรมเปิดบ้านทำศึกดาร์บี้แมตช์กรุงลอนดอนกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ถือว่ามีโอกาสไม่น้อยที่ ปีกจรวดชาวเวลส์วัย 31 ปี จะได้รับโอกาสโชว์ฝีเท้าจากกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ หลังจากที่มุ่งมั่นฟิตร่างกายจนกลับมาพร้อมอีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่น่าเสียดายอย่างมากคือ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้เราจะไม่ได้เห็นภาพ เบล ได้รับการต้อนรับที่แสนอบอุ่นจากแฟนบอล "ไก่เดือยทอง" หลายหมื่นชีวิตที่สังเวียนแข้ง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม

โซลชาระเบิดพลังแฝง ! ผ่า 5 ประเด็น แมนยู ฟอร์มหรูย้ำแค้น ปารีสฯ

    ในยามที่กดดันเก้าอี้ร้อน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มักจะระเบิดพลังแฝงออกมาซึ่งในแมตช์เยือน ปารีส แซงต์-แชร์กแมง "น้าลูกอม" ได้โชว์กึ๋นชั้นยอดในการนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอกย้ำความแค้นใส่ "เปแอสเช" ด้วยการบุกชนะ 2-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช เมื่อวันอังคารที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา
    ระบบการเล่น 3-5-2 ของ โซลชา เต็มไปด้วยประสิทธิภาพในในเกมรับ และเกมรุก โดยเกมรับทั้ง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, อั๊กเซล ตวนเซเบ้ และ ลุค ชอว์ เล่นได้อย่างเหนียวแน่น ขณะที่ อารอน วาน-บิสซาก้า กับ อเล็กซ์ เตลลิส ช่วยเติมเกมบุกได้ยอดเยี่ยม และเกมรับเหนียวแน่น ทำให้แนวรุกเจ้าบ้านเล่นไม่ออก

    ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยังคงเป็นหัวใจในเกมรุกของทีมเหมือนเดิม ส่วนคู่มิดฟิลด์ เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านกองหน้าอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็โดดเด่น สำหรับ อองโตนี่ มาร์กซิยาล เล่นไม่ค่อยออก แถมยังทำเข้าประตูตัวเองอีกต่างหาก

    ส่วนอีกคนที่สำคัญมากๆ และมีส่วนช่วยให้ทีมชนะนั่นก็คือ ดาบิด เด เคอา เพราะเจ้าตัวโชว์ฟอร์มมหาเทพช่วยป้องกันจังหวะสำคัญๆ จากแนวรุกของ แซงต์-แชร์กแมง ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และฟอร์มของ นายด่านสแปนิช น่าจะทำให้หลายๆ คนหยุดสงสัยในตัวเขาซะที

 

 

1.  บรูโน่ นิ่งสงบไม่มีหวั่นไหว
    เกมนี้เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส คือนักเตะที่มีหัวใจกล้าแกร่งไม่หวั่นไหวในการรับหน้าที่สังหารจุดโทษ แม้ว่าเขาเพิ่งจะทำพลาดยิงจุดโทษไม่เข้าในแมตช์ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ถลุง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เกมลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็ตาม

    อองโตนี่ มาร์กซิยาล ช่วยทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เปรียบตั้งแต่นาทีที่ 25 เมื่อเขาโดนทำฟาวล์ในเขตโทษ และเป็น แฟร์นันด์ส ที่ขันอาสาจัดการยิงจุดโทษ โดยการยิงครั้งแรกเจ้าตัวใช้ลีลากระโดดยิงแต่โดน เคย์เลอร์ นาบาส เซฟเอาไว้ได้ แต่ท่านเปาให้ยิงใหม่ เพราะนายด่าน "เปแอสเช" ดันขยับออกมาจากเส้นก่อน
 

    เมื่อได้รับโอกาสครั้งที่สอง จอมทัพทีมชาติโปรตุเกส ไม่ยอมพลาดอีกครั้ง และเจ้าตัวแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่แข็งแกร่งดั่งภูผาหิน ด้วยการสังหารจุดโทษไปที่มุมเดิม แต่ครั้งนี้ นาบาส พุ่งผิดทาง ส่งผลให้บอลเข้าไปนอนเล่นในก้นตาข่ายอย่างสวยงาม

    สำหรับประตูขึ้นนำของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เหมือนเป็นการชดเชยจากกรณีที่พวกเขาเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ในจังหวะที่ ดาบิด เด เคอา เซฟจุดโทษเกมกับ คริสตัล พาเลซ แต่โดนจับว่าขยับตัวออกมาก่อน และต้องยิงใหม่ สุดท้าย "ผีแดง" พ่ายแพ้คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อเดือนที่ผ่านมา

    ที่สำคัญฟอร์มของ แฟร์นันดส์ ในเกมนี้ต้องยอมรับว่าน่าประทับใจมากๆ เพราะนอกจากที่เขาจะเป็นหัวใจในการสร้างเกมบุก และรังสรรค์โอกาสในการทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมแล้ว เจ้าตัวยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในฐานะกัปตันทีมอีกด้วย 
 
2. เตลลิส ว่าที่จอมเปิดบอลชั้นยอด
    อเล็กซ์ เตลลิส แสดงให้เห็นถึงผลงานไม่ธรรมดาในเกมเปิดตัวของเขา แถมยังเป็นแมตช์ใหญ่เยือนกรุงปารีสซะด้วย โดยเขาโชว์ความเป็นนักเตะชั้นยอดในการเล่นเกมรุก ขณะเดียวกันยังรับหน้าที่จัดการเล่นลูกตั้งเตะซึ่งเจ้าตัวเปิดบอลได้ดียิ่งกว่าผู้เล่นเท้าซ้ายคนอื่นๆ ของ "ผีแดง" ในเวลานี้

    โดยเฉพาะจังหวะการเล่นลูกเตะมุม เตลลิส โชว์ให้เห็นถึงการเตะมุมที่อันตรายมากๆ และทุกครั้งที่ได้เตะมุมทางฝั่งขวาเขาจะรับหน้าที่เปิดเองซึ่งบอลที่เปิดเลี้ยวเข้าหาประตู และเกือบที่จะช่วยให้ "ปีศาจแดง" ได้ประตูที่สองในช่วงครึ่งแรกด้วย ขณะที่การเปิดบอลจากฝั่งซ้ายก็โดดเด่นไม่แพ้กัน

    ลองนึกภาพเวลาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มี เอดินสัน คาวานี่ ลงสนามเพราะทีมจะมีหน้าเป้าชั้นยอดคอยทำหน้าที่ยิงประตู ฉะนั้นหากให้ เตลลิส ได้มีโอกาสเปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ งานนี้บอกเลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีสิทธิ์ได้ประตูอย่างแน่นอน

    ในส่วนของเกมรับ เตลลิส ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีไม่มีที่ติดในการคุมพื้นที่ฝั่งซ้ายได้อยู่หมัด แม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่เกมแรกของเขาในสีเสื้อ "ปีศาจแดง" เท่านั้น แต่ผลงานแบบนี้น่าจะเป็นการบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ดาวเตะชาวบราซิเลียน พร้อมที่จะเป็นผู้เล่นตัวจริงของทีม และเขาจะทำให้ "ผีแดง" แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 
   
3. วาน-บิสซาก้า, ตวนเซเบ้ แข็งแกร่งน่าประทับใจ
    บอกเลยว่าเกมนี้ อารอน วาน-บิสซาก้า เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกชนะ "เปแอสเช" โดยเขาสามารถจัดการหยุดความเก่งฉกาจของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ กับ เนย์มาร์ ได้อย่างยอดเยี่ยมทุกครั้งที่ทั้งสองคนนี้บุกเข้ามาอยู่ในพื้นที่การดูแลของเขา

    "เอดับเบิ้ลยูบี" สามารถรับมือทักษะชั้นยอดของ เอ็มบัปเป้ และ เนย์มาร์ ได้เป็นอย่างดี และยังโชว์การเสียบสกัดที่แม่นยำ รวมทั้งการปะทะ เอ็มบัปเป้ ส่งผลให้เขาพลาดโอกาสที่จะยิงประตู นอกจากนี้ "ไอ้แมงมุม" ยังแท็กเกิล มอยเซ่ คีน จนทำให้เขาเสียการครองบอล จนพลาดยิงประตู

    สถิติในแมตช์นี้ของ วาน-บิสซาก้า บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาสำคัญมากๆ เมื่อสกัดได้ 6 ครั้ง, ตัดบอลจากคู่แข่งได้ 2 ครั้ง และหยุดความร้อนแรงของ เนย์มาร์, เอ็มบัปเป้ ได้อยู่หมัด ฉะนั้นนี่เป็นอีกบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นหนึ่งในแบ็กขวาที่ดีที่สุดในเวลานี้

    ขณะที่ อั๊กเซล ตวนเซเบ้  ที่ลงเล่นเกมแรกให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2020 ทำผมได้ดีมากๆ โดยเขาทำหน้าที่เป็นปราการหลังได้อย่างดีไม่มีที่ติ โดยเฉพาะการจัดการกับ เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ ที่สำคัญยังมีชอตเด็ดในจังหวะดวลตัวต่อตัวกับ สตาร์ดังทีมชาติฝรั่งเศส และสามารถจัดการนักเตะได้อยู่หมัด

    แน่นอนว่าเกมนี้ถือเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์สำหรับสาวก "เร้ดส์ อาร์มี่" ที่เห็น ตวนเซเบ้ เล่นด้วยความนิ่งทั้งๆ ที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดันหลายครั้งก็ตาม นอกจากนี้เขายังมีจังหวะเคลียร์บอลที่สุดยอด และด้วยฟอร์มแบบนี้ โซลชา คงพร้อมที่จะให้โอกาสกับเจ้าตัวมากยิ่งขึ้น
 
 4. สามแต้มเปิดตัวที่สุดยอดเยี่ยม
    ต้องยอมรับว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในแมตช์นี้ โดยส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับ โซลชา ในการวางแผนมาเป็นอย่างดีด้วยการใช้ระบบ 3-5-2 เนื่องจากทีมขาด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ทำให้ "น้าลูกอม" จำเป็นต้องใช้ระบบนี้ และถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมมากๆ

    วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, ตวนเซเบ้ และ ลุค ชอว์ ทำหน้าที่เป็นสามแนวรับที่สมบูรณ์แบบ โดยพวกเขาสามารถจัดการเกมบุกที่แสนดุดันของ แซงต์-แชร์กแมง ได้เป็นอย่างดี ขณะที่ในแผงกองกลาง โซลชา เลือกดร็อป ปอล ป็อกบา กับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค และส่ง เฟร็ด ยืนคู่กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ซึ่งทั้งคู่ทำหน้าที่ได้อย่างเข้าขารู้ใจ ที่สำคัญพวกเขายังช่วยให้ทีมเล่นเกมสวนกลับได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
 

    ในส่วนของแดนหน้าแม้ อองโตนี่ มาร์กซิยาล จะยิงไม่ได้แต่เขาคือคนที่เรียกจุดโทษให้ทีม ฉะนั้นก็พอจะหยวนๆ ให้อภัยในจังหวะที่โหม่งเข้าประตูตัวเอง รวมทั้งอีกหลายจังหวะที่มีโอกาสทำประตูแต่ยิงไม่ดี ส่วน มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ยังคงเป็นหัวหอกตัวความหวัง ความเร็ว และการยิงที่เฉียบคมของเขาช่วยให้ทีมได้ 3 คะแนนสำคัญในแมตช์นี้

    ฉะนั้นการออกมาเยือนถิ่นปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ พร้อมกับคว้าชัยชนะกลับเมืองแมนเชสเตอร์ ถือเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับทีม และยังเป็นกำลังใจให้กับบรรดาแข้ง "ปีศาจแดง" สำหรับแมตช์ที่พวกเขาจะต้องปะทะกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี เกมลีกสัปดาห์นี้ 
 
5. ยืนหนึ่งต้อง เด เคอา เท่านั้น
    แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลายคนเรียกร้องดร็อป ดาบิด เด เคอา ได้แล้ว และเปิดโอกาสให้ ดีน เฮนเดอร์สัน ได้ทำหน้าที่มือ 1 ซะที เพราะเชื่อว่า นายทวารชาวอังกฤษ มีศักยภาพที่จะดีกว่า โกลเลือดกระทิงดุ ที่มักจะโดนมองว่าฟอร์มตกในช่วงที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตามในฤดูกาลนี้ เด เคอา ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าระดับฟอร์มการเล่นของเขายังคงสุดยอดเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมล่าสุดที่ปะทะกับ "เปแอสเช" เจ้าตัวโชว์ความเหนียวหนึบ และต้องบอกเลยว่าเขาคือหนึ่งในนักเตะสำคัญที่นำชัยชนะมาสู่ทัพ "ผีแดง" แมตช์นี้
 

    นายด่านทีมชาติสเปน มีจังหวะเซฟสำคัญๆ หลายครั้งเริ่มตั้งแต่การปฏิเสธจังหวะยิงประตูของ อังเคล ดิ มาเรีย ในนาทีที่ 11 จากนั้นก็โชว์ความเหนียวหนึบจากการยิงของ เลย์วิน คูร์ซาว่า ในนาทีถัดมา ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะในครึ่งหลังเขายังเซฟจังหวะยิงอย่างเหนือชั้นของ เอ็มบัปเป้ ในนาทีที่ 47  จากนั้นก็หยุดการยิงของ เนย์มาร์ ในนาทีที่ 82

    แน่นอนว่าฟอร์มการเซฟประตูของ เด เคอา ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด รอดพ้นจากหายนะในแมตช์นี้ แถมยังนำไปสู่การได้ชัยชนะด้วย ฉะนั้นหาก เฮนเดอร์สัน อยากจะรู้ว่าตัวเองควรจะมีมาตรฐานในระดับไหนถึงจะได้เป็นมือ 1 "ปีศาจแดง" ก็ให้ดูผลงานของ นายด่านเลือดกระทิงดุ เอาไว้ และหากยังทำไม่ได้ในระดับนี้ ก็ยากจะได้เป็นตัวจริง

ห่วยทุกตำแหน่ง! ตัดเกรดแข้งแมนยูเกมสปอร์สยำใหญ่คาบ้าน

ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์อันเลวร้ายของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังพ่ายแพ้คาบ้านต่อ สเปอร์ส ถึง 6-1 เกมนี้แข้ง "ผีแดง" ครบสูตรคำว่า "ย่ำแย่" โดยเฉพาะเรื่องเกมรับที่ปล่อยให้คู่แข่งถลุงตาข่ายง่ายอีกแล้ว นอกจากนี้แนวรุกยังมาโดนใบแดงตอกย้ำอีกด้วย และนี่คือผลสอบของนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมนี้

ดาบิด เด เคอา 4

ไม่ได้แย่เหมือนแผงหลังที่อยู่หน้าเขาแต่ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับการเสีย 6 ประตูจากการยิงตรงกรอบ 8 ครั้งในเกมนี้ โดยเฉพาะลูกที่โดน ซน ฮึง-มิน ยิงลอดขา

อารอน วาน-บิสซาก้า 4

อาจจะเป็นคนที่ผิดพลาดน้อยที่สุดในแผงหลัง มีการทำถึง 4 แท็กเกิ้ล แต่ก็เจองานหนักในการประกบ ซน ที่มีความเร็วในลูกสวนกลับ ไม่ได้ทำประโยชน์มากนักเมื่อมีบอลอยู่กับตัว

เอริก ไบยี่ 2

มีโอกาสได้ลงเล่นตัวจริงแทนที่ ลินเดอเลิฟ แล้วแต่คว้าโอกาสไม่ได้ ลูกที่ 2 เขามัวแต่เหม่อจนตาม ซน ฮึง-มิน ไม่ทัน ขณะที่ลูกที่สามรับไปเต็มเนื่องจากจ่ายพลาดหน้าปากประตู

แฮร์รี่ แม็กไกวร์ 3

ความผิดพลาดของเขาทำให้ทีมเสียประตูตีเสมอเร็วจนโมเมนตัมเปลี่ยน ยังเป็นคนที่เข้าบอลโฉ่งฉ่างจนเสียฟรีคิกและเสียประตูที่สองด้วย

ลุค ชอว์ 2

กลายเป็นบ่อน้ำมันรูเบ้อเร่อของเกมนี้ ทั้งการยืนตำแหน่งที่ผิดพลาดไปหมดจน สเปอร์ส ขึ้นเกมรุกแบบขวาผ่านตลอด รวมถึงมีส่วนกับการเสียประตูทั้งหลายลูก

ปอล ป็อกบา 4

ไม่ได้สร้างอิมแพ็คกับเกมรุกเลยแถมยังทำเสียบอลถึง 13 ครั้งเลยทีเดียว เข้าแท็กเกิ้ลพลาดจนทำเสียจุดโทษแบบง่ายๆ

เนมานย่า มาติช 3

แทบจะตามเกมรุกของสเปอร์สไม่ทัน ไม่ได้ทำแท็กเกิ้ลหรือตัดบอลแม้แต่ครั้งเดียวในครึ่งแรก

เมสัน กรีนวู้ด 4

ทำสุดความสามารถของเขา แต่ช่วยเกมรุกได้น้อย โอกาสง้างเท้านับครั้งได้

บรูโน่ แฟร์นันด์ส 5.5

    อุตส่าห์ยิงจุดโทษให้ทีมขึ้นนำเร็วแท้ๆ แต่พอทีมเสียประตูตีเสมอและเสียโมเมนตัมบทบาทก็น้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง

มาร์คัส แรชฟอร์ด 4

มีโอกาสหลุดไปยิงชนเสาแต่เป็นจังหวะล้ำหน้าและก็แทบไม่มีบทบาทกับเกมเนื่องจากบอลไปไม่ถึงเขามากนักโดยเฉพาะครึ่งหลังที่โดนจับโยกไปเล่นกองหน้า

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล 3

เรียกจุดโทษให้กับทีมได้สำเร็จแต่เรื่องดีของเขาทั้งเกมมีแค่นั้น อาจจะไม่แฟร์นักที่โดนใบแดงอยู่คนเดียว แต่ต้องยอมรับว่าเป็นบทเรียนสำคัญของเจ้าตัวไม่ให้ใช้อารมณ์มากเกินไป

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

เฟร็ด 4 (ลงมาแทน บรูโน่ แฟร์นันด์ส น.46)

ถูกส่งมาเพื่อให้แดนกลางเข้าที่มากขึ้นแต่สุดท้ายไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่นัก แถมจ่ายขึ้นหน้าพลาดหลายครั้ง

สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ 4 (ลงมาแทน เนมานย่า มาติช น.46)

ไม่ต่างจาก เฟร็ด เนื่องจากไม่ได้ช่วยแดนกลางให้ดีขึ้น

ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค 5 (ลงมาแทน เมสัน กรีนวู้ด น.68)

ลงมาเล่นทางฝั่งขวาแต่ได้บอลค่อนข้างน้อย

 

แมนยู สโมสรลงทุนนักเตะดาวรุ่งมากที่สุด

เด็กวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า !  แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่ทุ่มเงินในการซื้อนักเตะดาวรุ่งมาร่วมทีมแบบไม่อั้น โดยพวกเขาเชื่อมั่นว่าผู้เล่นเหล่านี้จะเป็นอนาคต และเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับยอดทีมแห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด  

เป็นที่รู้กันดีว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในสโมสรที่ผลิตนักเตะเยาวชนขึ้นมาประดับวงการลูกหนังมากมาย และที่โดดเด่นดังคับโลกคงหนีไม่พ้นเหล่าแก๊ง "คลาส ออฟ 92" ได้แก่ เดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, แกรี่-ฟิล เนวิลส์", นิคกี้ บัตต์ และ พอล สโคลส์ ภายใต้การอบรมบ่มนิสัยจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

หลังจากหมดยุค "คลาส ออฟ 92" แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงผลิตนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาประดับทีมอย่างต่อเนื่องอย่างเช่น แดนนี่ เวลเบ็ค, อัดนาน ยานาไซ, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ และอีกหลายๆ คน รวมทั้ง ปอล ป็อกบา (ย้ายไปดังกับ ยูเวนตุส) แม้ว่าจะไม่ดังไม่ปังเท่ากับรุ่นพี่ แต่ก็แสดงให้เห็นว่า "ผีแดง" ยังคงให้ความสำคัญกับดาวรุ่งอยู่เสมอ

สำหรับเรื่องการวางรากฐานให้กับสโมสรเป็นสิ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ด พยายามทำมาตลอด ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขาจึงพร้อมที่จะทุ่มเงินคว้านักเตะดาวรุ่งมาร่วมทีม นั่นจึงทำให้ "เร้ด เดวิลส์" เป็นทีมที่ลงทุนกับนักเตะวัยละอ่อนมากที่สุดในปัจจุบัน
    
แมนฯ ยูฯ ตัดสินใจทุ่มเงินซื้อ อาหมัด ดิยัลโล่ ตราโอเร่ ปีกดาวรุ่ง วัย 18 ปีจาก อตาลันต้า มาร่วมทัพด้วยค่าตัวเบื้องต้น 18 ล้านปอนด์ (ราว 684 ล้านบาท) อย่างไรก็ตามค่าตัวของนักเตะจะพุ่งไปถึง 37 ล้านปอนด์ (ราว 1,406 ล้านบาท) เลยทีเดียว นอกจากพวกเขายังคว้าตัว ฟากุนโด้ เปยิสตรี ปีกดาวรุ่งจาก คลับ แอตเลติโก เปนารอล มาเสริมทัพด้วย โดย ดาวเตะวัย 18 ปี มีศักยภาพที่พร้อมที่ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้เลย

อยู่หรือไปเดี๋ยวได้รู้ ! 7 เกมสำคัญที่อาจชี้ชะตาอนาคต โซลชา

อนาคตของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในการนั่งกุมบังเหียนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มสั่นคลอนขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ทัพ "ปีศาจแดง" ทำผลงานได้น่าผิดหวังในช่วงต้นฤดูกาล 2020/2021 โดยพวกเขาแพ้ไปแล้ว 2 เกมจาก 3 แมตช์ที่ลงสนาม ที่สำคัญยังเป็นการพ่ายยับคาถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พร้อมกับฟอร์มที่ไม่ดีเอาซะเลย
    "น้าลูกอม" เหมือนโดนฟ้ากลั่นแกล้งเพราะผลงานที่ว่าย่ำแย่ในเวลานี้ แถมยังมาโดนโปรแกรมที่แสนโหดเหลือเกิน เพราะหลังจากที่หมดช่วงพักเบรกทีมชาติ ทัพ "ปีศาจแดง" มีคิวต้องลงเล่นในแมตช์ที่ต้องบอกว่าสุดหิน เนื่องจากแต่ละทีมที่จะเจอออกไปทางแกร่งเลยทีเดียว

    จากผลงานในเกมพรีเมียร์ลีกที่แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-3 ตามด้วยการโดน "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไล่ต้อนยับ 1-6 ทำให้ขาเก้าอี้ของ โซลชา เริ่มออกอาการโคลงเคลง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ "เร้ด เดวิลส์" เริ่มมีกระแสข่าวลือเรื่องการทาบทาม เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กับ มักซิมิเลียโน่ อัลเลกรี เข้ามารับเผือกร้อนแทน

    การที่มีรายงานว่าบอร์ดบริหาร แมนฯ ยูไนเต็ด พยายามติดต่อ 2 กุนซือชั้นยอดที่ยังว่างงานในเวลานี้ เพราะพวกเขาดูเหมือนจะพยายามเตรียมแผนสำรอง เนื่องจาก "ปีศาจแดง" กำลังมีโปรแกรมที่น่าเป็นห่วงมาก 7 แมตช์ภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นการชี้ชะตาอนาคตของ โซลชา ก็ว่าได้

    สำหรับโปรแกรม 7 พิฆาตผ่าอนาคต "น้าลูกอม" ว่าจะอยู่หรือไป โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงสัปดาห์นี้เมื่อพวกเขาต้องเดินทางไปเยือน "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่สนามเซนต์ เจมส์ พารค์ ในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคมนี้ โดยการที่แมตช์นี้ยังคงต้องเล่นแบบไม่มีกองเชียร์ อาจจะทำให้นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ขาดแรงกระตุ้น และความมั่นใจไปบ้าง

     หลังจากจากนั้นก็ต้องเดินทางไปยังกรุงปารีส เพื่อปะทะกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่า "เปแอสเช" เป็นทีมที่แข็งแกร่ง แมนฯ ยูฯ และคงทำให้ ยอดทีมแห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้องเจอกับงานสุดหินในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม  เอช

     แม้ว่าหลังจากไปเยือนเมืองหลวงดินแดนน้ำหอมแล้ว พวกเขาจะกลับมาเฝ้า "โรงละครแห่งความฝัน" ในเกมพรีเมียร์ลีก แมตช์ต่อไปก็ตาม แต่คู่แข่งดันเป็น "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่อุดมไปด้วยนักเตะฝีเท้าระดับพระกาฬแถมฟอร์มกำลังดีวันดีคืน งานนี้คงทำให้ โซลชา ต้องเตรียมทีมให้ดี ไม่งั้นอาจจะเกิดโศกนาฎกรรมคาบ้านแบบย่อยยับเหมือนตอนที่รับมือ สเปอร์ส

    โปรแกรมต่อไปคือการไปพบกับ แอร์เบ ไลป์ซิก สโมสรที่ฟอร์มแรงมากๆ และได้เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ฉะนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องวางแผนมาให้รัดกุม แต่อย่างน้อยๆ การเล่นในบ้านน่าจะทำให้พวกเขาพอจะอุ่นใจได้บ้าง

    หลังจากรับมือกับ ไลป์ซิก แล้ว โซลชา ยังต้องเจอกับงานสุดหินอีกแมตช์เมื่อต้องดวลกับ อาร์เซน่อล ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แน่นอนว่าตอนนี้ "เดอะ กันเนอร์ส" ภายใต้การกุมบังเหียนของ มิเกล อาร์เตต้า กำลังฟอร์มดีขึ้นเรื่อยๆ แถมยังได้แชมป์มาแล้ว 2 รายการ (เอฟเอ คัพ กับ คอมมิวนิตี้ ชิลด์) ทำให้พวกเขามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ที่สำคัญผลงานในลีกช่วงต้นซีซั่นก็ดูดีมีอนาคต

     ฟอร์มของ อาร์เซน่อล ในเกมลีกค่อนข้างดีเลยทีเดียว เมื่อพวกเขาเก็บชัยชนะได้ 3 เกมจาก 4 แมตช์ โดยเกมที่แพ้ก็เกิดขึ้นในการปะทะกับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า ที่สนามแอนฟิลด์ ที่สำคัญฟอร์มในแมตช์นั้น "เดอะ กันเนอร์ส" เล่นได้ดีเยี่ยม แต่สู้ความเฉียบของเจ้าบ้านไม่ได้เท่านั้นเอง

    หลังจากจบเกมรับมือ "ไอ้ปืนใหญ่" แล้ว โซลชา แทบไม่มีเวลาให้คิดทบทวนอะไรมากนัก เนื่องจากเขาจะต้องนำลูกทีมบินทะยานฟ้าไปยังประเทศตุรกี เพื่อพบกับ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ซึ่งเป็นสโมสรที่คว้าแชมป์ลีกดินแดนไก่งวง ซีซั่นที่ผ่านมา ฉะนั้นนี่ไม่ใช่งานง่ายๆ สำหรับ แมนฯ ยูฯ ที่สำคัญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตุรกีเป็นดินแดนที่สร้างปัญหาให้กับทัพ "ผีแดง" อยู่บ่อยๆ ซะด้วย

     นอกจากนี้ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ยังมีนักเตะหลายคนที่ผ่านการเล่นในพรีเมียร์ลีก อย่างเช่น เดมบา บา, นาเซอร์ ชาดลี่, มาร์ติน สเคอร์เทล และ ราฟาเอล ดา ซิลวา ซึ่งแน่นอนว่านักเตะเหล่านี้ย่อมมีประสบการณ์ในการเจอกับ แมนฯ ยูฯ มาแล้ว และน่าจะมีประโยชน์เมื่อต้องสู้กับพวกเขาอีกครั้ง

     ตบท้ายแมตช์ที่สำคัญมากๆ ซึ่งไม่รู้ว่า โซลชา จะยังได้นั่งอยู่ในเก้าอี้กุนซือ "ปีศาจแดง" หรือไม่ แต่หากยังอยู่เกมนี้ถือว่าสุดหินจริงๆ เพราะทีมจะต้องไปเยือน "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงเก็บชัยชนะ 4 เกมรวดในลีก รั้งตำแหน่งจ่าฝูงในเวลานี้

    เอฟเวอร์ตัน ภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือคาร์โล อันเชลอตติ เล่นได้อย่างดุดันในเกมรุก และรัดกุมในเกมรับ ฉะนั้นนี่ถือเป็นงานที่เปรียบเสมือนเข็นครกขึ้นภูเขาสำหรับ โซลชา จริงๆ และเขาต้องพยายามวางแผนให้ดีที่สุดในการสู้กับกึ๋นของ "คาร์เล็ตโต้"


 

    แน่นอนว่า หลังเกมพักเบรกทีมชาติ หาก โซลชา สามารถนำทีมทำผลงานได้ดีพร้อมกับโชว์ฟอร์มได้โดดเด่น ก็ถือว่าเหมาะสมที่จะได้อยู่ยื้ออนาคตกับต้นสังกัดต่อไป

    แต่หากเจ้าตัวทำไม่ได้ คงต้องมาลุ้นกันว่าบอร์ดบริหารจะยอมอดทนและให้โอกาสเขาอีกต่อไปไหน เพราะการที่จะปลุกปีศาจต้องใช้ปีศาจ อาจจะไม่ใช่คำตอบ (อีกต่อไป) !!!??!! ว่าซั่น……

แฟนผีจับตา!สื่อดังยันแมนยูซิวคาวานี่แล้ว ตรวจร่างกายวันนี้ก่อนชูเสื้อ

 

ทำเอาบรรดาสาวก "ปีศาจแดง" คึกคักเลยทีเดียว เพราะล่าสุดสื่อดังรายงานแล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกลงคว้าตัว เอดินสัน คาวานี่ อดีตดาวยิง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ได้เรียบร้อย โดยนักเตะจะเข้ารับการตรวจร่างกายวันนี้เลย
    
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ บรรลุข้อตกลงสัญญา 2 ปี กับ เอดินสัน คาวานี่ กองหน้าซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอุรุกวัย ได้เรียบร้อย ตามรายงานจาก อีเอสพีเอ็น สื่อกีฬาชั้นนำระดับโลก เมื่อวันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังเจรจากับเอเจนต์ของ คาวานี่ โดยหวังที่จะคว้าเจ้าตัวมาล่าตาข่ายในรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แบบฟรีๆ หลังจากที่ ดาวยิงวัย 33 ปี หมดสัญญาและแยกทางกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ตั้งแต่สิ้นเดือนมิถุนายน

ล่าสุด อีเอสพีเอ็น ระบุว่า "ปีศาจแดง" ตกลงกับ คาวานี่ ได้แล้ว ด้วยสัญญา 2 ปี โดยที่ตัวนักเตะเตรียมเดินทางจากกรุงปารีส มายังเมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อเข้ารับการตรวจร่างกายวันอาทิตย์นี้ และคาดว่าน่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการอย่างช้าในวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม

ไล่หมาก-แมนยูแพ้เละคาบ้าน! ซน-เคน ซัดเบิ้ลพาสเปอร์สบุกถล่มไม่ไว้หน้า

"ปีศาจแดง" โชว์ฟอร์มได้สุดห่วยอีกนัดหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร หลังโดน สเปอร์ส บุกมาถล่มเละแพ้คาบ้านด้วยสกอร์ 1-6 เกมนี้ "ผีแดง" ต้องเหลือแค่ 10 คนหลัง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล โดนใล่ออกตั้งแต่นาทีที่ 28 ก่อนจะโดนทัพไก่ที่ตัวมากกว่าไล่ถล่มไม่ไว้หน้า ซน ฮึง-มิน ควงแฮร์รี่ เคน เหมาคนละสองเม็ด ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม ทัพปีศาจแดงของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เกมนัดล่าสุด บุกไปชนะไบร์ทตันในศึก คาราบาว คัพ 3-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

    โดยเกมในวันนี้จะไม่มี  ฟิล โจนส์ และ อักเซล ตวนเซเบ้ ที่มีอาการบาดเจ็บอยู่ ส่วนตัวหลักคนอื่นๆ ยังอยู่กันครบ นำมาโดยกัปตันทีม  แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ได้พักในเกมกับไบร์ทตัน จะได้กลับมาลงสนามอีกครั้งคู่กับ เอริก ไบยี่ ที่โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในเกมล่าสุด

    แผงกองกลางยังคงเป็นชุดประจำนำมาโดย ปอล ป็อกบา กับ เนมานย่า มาติช คุมเกมโดยมี บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำเกมรุก ซึ่งดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ยังคงต้องรอโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงต่อไป ริมเส้นเป็น เมสัน กรีนวู้ด และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ส่วนกองหน้าตัวเป้าใช้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เช่นเคย

    ทางฝั่งผู้มาเยือน สเปอร์ส ที่คุมทัพโดย โชเซ่ มูรินโญ่ อดีตนายเก่าของผีแดง นัดล่าสุดลงเล่นในศึกยูโรปา ลีก รอบเพลย์ออฟ เอาชนะ มัคคาบี้ ไฮฟา ไปแบบถล่มทลาย 7-2

    ทัพไก่เดือยทองไม่มีปัญหานักเตะบาดเจ็บหรือติดโทษแบนเพิ่มเติม จะมีเพียง แกเร็ธ เบล ที่ยังต้องเรียกความฟิต กองกลางใช้  ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก, มุสซ่า ซิสโซโก้ และ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ โดยแดนหน้าเป็น เอริก ลาเมล่า, แฮร์รี่ เคน  และซน ฮึง-มิน ที่ฟิตกลับมาช่วยทีมได้ทัน

    เริ่มเกมมาเพียง 30 วินาที แฟนปีศาจแดง ได้เฮกันอย่างรวดเร็ว เมื่อ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ไปโดน ดาวินซอน ซานเชซ เข้าบอลจากด้านหลังในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสิน แอนโทนี่ เทย์เลอร์ ชี้เป็นลูกจุดโทษให้กับเจ้าถิ่นทันที

    ก่อน บรูโน่ แฟร์นันด์ส รับหน้าที่สังหารไม่พลาด เปิดสกอร์ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำไปก่อน 1-0 ตั้งแต่เริ่มเกมเพียง 2 นาที

    แต่เพียงแค่นาทีที่ 4 เท่านั้น สเปอร์ส มาทวงประตูคืนอย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อแนวรับเจ้าถิ่นเคลียร์บอลกันไม่ขาดเอง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ โหม่งไม่พ้นเขตอันตราย ก่อนไปกั๊กจังหวะกับ ลุค ชอว์ ที่เบียดกับ เอริก ลาเมล่า ตรงกรอบ 6 หลา ก่อนบอลทะลักมาให้ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ เติมขึ้นมายิงเปรี้ยงเดียวไม่เหลือ ไก่เดือยทอง บุกไล่เจ๊า 1-1

    จากนั้นนาทีที่ 7 แฟนทีมเยือนได้เฮอย่างรวดเร็ว เมื่อ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ไปฟาวส์ แฮร์รี่ เคน ก่อน แฮร์รี่ เคน จากอาศัยจังหวะเล่นเร็ว จ่ายทะลุช่องให้ ซน ฮึง-มิน ใช้ความเร็ววิ่งแซงเอาชนะ เอริก ไบยี่ กับ ลุค ชอว์ ก่อนยกบอลข้ามตัว ดาบิด เด เคอา ไปอย่างเหนือชั้น ให้ สเปอร์ส แซงนำ 2-1 ทำให้เกมนี้ยิงกัน 3 ประตู ตั้งแต่ยังไม่ถึง 10 นาทีแรกของเกม
 
     นาทีที่ 19 แฟนผี มีลุ้นได้เสียว เมื่อ บรูโน่ แฟร์นันด์ส อย่างสวยให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ดึงจังหวะหลอก แซร์จ ออริเยร์ หนึ่งจังหวะก่อนยิงเต็มข้อ แต่บอลไปชนเสาเต็มๆ อย่างไรก็ตามลูกนี้ แม้จะยิงเข้าแต่ แรชฟอร์ด ก็โดนตีธงล้ำหน้าอยู่ดี

     นาทีที่ 27 ทีมเยือนทำเจ้าถิ่นเสียวไส้อีกครั้ง เมื่อ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ กึ่งยิงกึ่งผ่านมาหน้าประตู ติดเซฟ ดาบิด เด เคอา จังหวะแรก ก่อนมาเข้าทางปืนของ  เอริก ลาเมล่า กดยิงเต็มๆ ยังดีที่ เอริก ไบยี่ ตามไปบล็อกได้ทัน ทำให้บอลแฉลบออกหลังไป

     จากนั้นนาทีที่ 29 สถานการณ์ของ ปีศาจแดง ยิ่งเลวร้ายกว่าเก่า เมื่อเหลือผู้เล่น 10 คน เมื่อ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล  ไปออกมือตบใส่หน้า เอริก ลาเมล่า หลังโดน เอริก ลาเมล่า ชักศอกใส่หน้า ผู้ตัดสิน  แอนโทนี่ เทย์เลอร์ ชูใบแดงให้ มาร์กซิยาล โดยตรงไล่ออกจากสนามทันทีแบบไม่ต้องเช็กวีเออาร์ ส่วน เอริก ลาเมล่า รับแค่ใบเหลือง

     ก่อนนาทีที่ 31 สเปอร์ส มาได้ประตูนำห่าง เมื่อ  เอริก ไบยี่ จ่ายบอลกน้าประตูถูก แฮร์รี่ เคน ตามมาสไลด์ ก่อนบอลจะหลุดมาถึง ซน ฮึง-มิน ปั้นคืนเพื่อนบ้าน จ่ายให้ แฮร์รี่ เคน วิ่งตามมาแปจ่อๆไม่เหลือ ทีมตราไก่ บุกนำห่าง 3-1

     นาทีที่ 37 ทีมเยือน ยังมาโหด มุสซ่า ซิสโซโก้ จ่ายบอลยาวให้ แซร์จ ออริเยร์ หลุดขึ้นมาทางฝั่งขวาของสนาม ก่อนเปิดลอดขา แฮร์รี่ แม็กไกวร์ มาที่เสาแรกให้ ซน ฮึง-มิน ตามชาร์จจ่อๆไม่เหลือ ทำให้ สเปอร์ส บุกนำห่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 4-1 เป็นประตูที่สองในเกมนี้ของดาวยิงวัย 28 ปี พร้อมขึ้นนำดาวซัลโวร่วมกับ โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน ที่ 6 ประตูเท่ากัน
 
     ช่วงเวลาที่เหลือทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ หมดครึ่งแรกจึงเป็น สเปอร์ส บุกนำ  แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงถิ่น ด้วยสกอร์สุดเหลือเชื่อ 4-1
 
    ครึ่งหลัง "ผีแดง" เปลี่ยนรวดเดียวสองคนส่ง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และเฟร็ด ลงไปเล่นแทน บรูโน่ แฟร์นันด์ส และเนมานย่า มาติช ขณะที่ สเปอร์ส ถอดเอา เอริก ลาเมล่า ออกแล้วส่ง ลูคัส มูร่า เล่นแทน

    เกมรับเจ้าถิ่นยังไม่ดีขึ้น นาที 51 ต้องมาสังเวยประตูที่ห้า จากจังหวะที่ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก แทงบอลยาวตัดหลังแนวรับมาถึง แซร์จ ออริเยร์ หลุดเข้าไปล่อเป้าซัดบอลผ่าน เด เคอา เสียบมุมเสาไกล ให้ "ไก่เดือยทอง" นำโด่ง 5-1

    เกมรุกของ แมนฯยูฯ ปั้นเกมกันไม่ขึ้นเลย นาที 67 โซลชา เปลี่ยนคนสุดท้าย ส่ง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ลงมาเล่นแทน เมสัน กรีนวู้ด

    นาที 72 ลูกทีมของ "มูรินโญ่" เกือบได้เม็ดที่หก คราวนี้ แฮร์รี่ เคน หลุดเข้าไปในกรอบทางด้านขวาก่อนซัดเลียดเสาแรก แต่ยังไม่พ้นมือ ดาบิด เด เคอา ที่ปัดออกหลังไปได้

    นาที 79 ปอล ป็อกบา ไปพลาดท่าทำเสียจุดโทษหลังพุ่งไปสไลด์แต่ด้วยแรงเฉื่อยทำให้ไปเสียบ เบน เดวิส ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษทันที ก่อนที่ แฮร์รี่ เคน จะสังหารเข้าไปไม่พลาด และเป็นประตูที่สองในเกมนี้ของดาวยิงทีมชาติอังกฤษ พาสเปอร์
สนำโด่งๆถึง 6-1

    จบเกม "ปีศาจแดง" พ่ายเละคาบ้านให้กับ สเปอร์ส 1-6 ทำให้เล่นไป 3 นัดแพ้คาบ้านไป 2 เกม มี 3 คะแนน อยู่อันดับ 16 ส่วน "ไก่เดือยทอง" ขึ้นมาอยู่อันดับ 5 มี 7 คะแนน

      รายชื่อนักเตะของทั้งสองทีม

        แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, เอริก ไบยี่, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ – ปอล ป็อกบา, เนมานย่า มาติช (สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ น.46) – เมสัน กรีนวู้ด (ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค น.68), บรูโน่ แฟร์นันด์ส (เฟร็ด น.46), มาร์คัส แรชฟอร์ด – อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล
    
        สเปอร์ส (4-3-3) : อูโก้ โยริส -แซร์จ ออริเยร์, ดาวินซอน ซานเชซ, เอริก ดายเออร์,เซร์คิโอ เรกีลอน – มุสซ่า ซิสโซโก้, ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก, ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่ (เดเล่ อัลลี่ น.69) – เอริก ลาเมล่า (ลูคัส มูร่า น.46), แฮร์รี่ เคน ,ซน ฮึง-มิน (เบน เดวิส น.73)
 
        ผู้ตัดสิน : แอนโทนี่ เทย์เลอร์

เด็กผีพอยิ้มได้ ! คาดการณ์ 11 ตัวจริง แมนยู หลังได้ คาวานี่, เตลเลส

สาวก "เร้ด อาร์มี่" คงพอใจในระดับหนึ่งที่เห็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัว อเล็กซ์ เตลเลส แบ็กซ้ายชาวบราซิเลียน มาร่วมทีมเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ กองหน้ามากประสบการณ์ ก็เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่เพื่อเติมเต็มเกมรุกให้ดุดันมากยิ่งขึ้น โดยงานนี้ "ปีศาจแดง" น่าจะระเบิดฟอร์เก่งเรียกศรัทธากลับคืนมาจากแฟนบอล
    ฤดูกาล 2020/2021 ผลงานของ แมนฯ ยูไนเต็ด ค่อนข้างน่าผิดหวัง โดยเฉพาะเกมล่าสุดที่ "ผีแดง" เปิดบ้านโดน "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไล่ถลุงยับไม่นับญาติด้วยสกอร์ 1-6 ทำให้แฟนบอลเริ่มหมดศรัทธาในการคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา และการบริหารงานของบอร์ด

    สิ่งสำคัญก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด แทบไม่มีการลงทุนซื้อนักเตะใหม่ในช่วงซัมเมอร์นี้ นอกจากคว้าตัว ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค มาจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม อย่างไรก็ตามในช่วงเส้นตายตลาดพ่อค้าแข้งซัมเมอร์นี้  "ผีแดง" เดินเครื่องเต็มสูบในการคว้านักเตะใหม่มาเสริมทัพ

    หนึ่งในจุดสำคัญที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเสริมก็คือกองหลัง เพราะทีมโดนวิจารณ์อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเสียถึง 6 ประตูในเกมเดียว ส่งผลให้ตอนนี้ทีมเสียประตูรวมไปแล้วถึง 11 ลูกทั้งๆ ที่เพิ่มจะเปิดฉากฤดูกาลใหม่ได้ไม่กี่เกมเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขาคว้าตัว เตลเลส เพื่อเข้ามาเติมเต็มเกมบุกทางตำแหน่งฟูลแบ็กซ้าย เพราะช่วงที่ผ่านมา ลุค ชอว์ กับแบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ผลงานไม่เข้าตา ในขณะที่แนวรุกพวกเขาใร คาวานี่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าฝีเกือกคมในวงการฟุตบอล มาไล่ล่าตาข่ายคู่แข่งด้วยเช่นกัน รวมทั้ง อาหมัด ดิยัลโล่ ตราโอเร่ ปีกดาวรุ่ง จาก อตาลันต้า (ซึ่งจะย้ายมาโชว์เพลงแข้งในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เดือนมกราคม ปีหน้า)

    ฉะนั้นเมื่อทีมได้นักเตะทั้งสองคนมาเสริมทัพในช่วงเวลานี้ทำให้พวกเขามีโอกาสได้ที่จะส่ง เตลเลส และ คาวานี่ ลงสนามในเกมเยือน "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งจะลงดวลกันในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เนื่องจากสองสัปดาห์จากนี้เป็นช่วงพักเบรกทีมชาติพอดิบพอดี

    โซลชา เตรียมที่จะจัดทีมแบบเต็มสูบเพื่อเรียกศรัทธาคืนมาจาก "เด็กผี" ทั่วโลก โดยพร้อมที่จะส่งแข้งใหม่ทั้งสองคนลงสนามทันที สำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตูยังคงเป็น ดาบิด เด เคอา เหมือนเดิม เพราะ "น้าลูกอม" ยังไว้วางใจ โกลทีมชาติสเปน ต่อไปแม้ล่าสุดจะถูกกระซวกไปครึ่งโหลก็ตาม

    ขณะที่แบ็กขวา อารอน วาน-บิสซาก้า ยังคงยึดตำแหน่งของตัวเองได้อย่างเหนียวแน่น ส่วนเซนเตอร์แบ็กแน่นอนว่า แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กัปตันทีมยังคงเป็นหัวใจสำคัญในเกมรับ โดย วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ซึ่งโดน เอริก ไบยี่ แย่งตำแหน่งในเกมพบ สเปอร์ส จะได้รับความไว้วางใจจาก โซลชา ให้กลับมายื่นคู่กับ แม็กไกวร์ อีกครั้ง

    ส่วน ชอว์ ตอนนี้เจ้าตัวคงรู้สถานภาพของตัวเองว่าไม่น่าจะได้เล่นตัวจริงแล้ว เพราะ เตลเลส ซึ่งย้ายจาก ปอร์โต้ จะได้ลงสนามตั้งแต่ต้นเกม ขณะที่แผนกองกลางงานนี้ โซลชา ยังไม่เลือก ฟาน เดอ เบ็ค ลงเป็น 11 ตัวจริง และตัดสินใจใช้งาน ปอล ป็อกบา ยืนคู่กับ เนมานย่า มาติช

    ด้าน บรูโน่ แฟร์นันด์ส จะได้ทำหน้าที่ในฐานะเพลย์เมกเกอร์ ส่วน เมสัน กรีนวู้ด หัวหอกลูกรักของ โซลชา กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด จะถูกจับไปเล่นเป็นกองหน้าตัวริมเส้น ด้านหน้าเป้างานนี้ทีมต้องเสีย อองโตนี่ มาร์กซิยาล เนื่องจากติดโทษใบแดง ฉะนั้น คาวานี่ คงจะได้ลงไปทำหน้าที่สำคัญ ซึ่งจะเป็นเกมแรกของเขานับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม

    ทั้งนี้ กองหน้าชาวอุรุวัย วัย 33 ปี ไม่ได้ลงสนามอีกเลยนับตั้งแต่ที่ลงเล่นตัวจริงให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เกมชนะ "เสือเหลือง" โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-0 ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่แฟน "ปีศาจแดง" ไม่ต้องกังวลเพราะนักเตะพยายามฝึกซ้อมส่วนตัวเพื่อรักษาความฟิตอยู่ตลอด

    คาดการณ์ 11 ตัวจริง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ผู้รักษาประตู : ดาบิด เด เคอา

กองหลัง : อเล็กซ์ เตลเลส, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, อารอน วาน-บิสซาก้า

กองกลาง : เนมานย่า มาติช, ปอล ป็อกบา, บรูโน่ แฟร์นันด์ส

กองหน้า :  มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน กรีนวู้ด, เอดินสัน คาวานี่

แพ้ยับตามผี! วิลล่าโหดกระซวกลิเวอร์พูลเละ กรีลิชกด2จ่าย3-วัตกิ้นส์แฮตทริก

เหลือเชื่อ! "สิงห์ผงาด" งัดฟอร์มเด็ดเปิดบ้านไล่ถล่มแชมป์เก่า ลิเวอร์พูล ไม่ไว้หน้าถึง 7-2 เกมนี้ แจ็ค กรีลิช โชว์โหดกด2ประตูแถมจ่ายอีก 3 ขณะที่  โอลลี่ วัตกิ้นส์ หอกตัวใหม่ประเดิมซัดแฮตทริก ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แม้จะซัดเบิ้ลแต่ไม่ช่วยให้ทีมพ้นความปราชัย ส่งให้ แอสตัน วิลล่า มี 9 แต้มเท่าหงส์, ปืน และจิ้งจอก ทว่าลูกได้เสียดีกว่าทำให้แซงขึ้นรองจ่าฝูง

สนาม : วิลล่า พาร์ค

    เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่สุดท้ายของคืนวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา แอสตัน วิลล่า ที่ชนะมา 2 นัดติดแบบไม่เสียประตู เปิดบ้านรับมือ "แชมป์เก่า" ลิเวอร์พูล ที่ชนะมา 3 เกมรวดเช่นกัน
   
    เกมนี้ ดีน สมิธ ปรับแดนกลาง ส่ง รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่ยืมมาจาก เชลซี ลงเล่นแทน คอเนอร์ ฮูริแฮน โดยแนวรุกยังเป็น มาห์มูด เทรเซเก้ต์, โอลลี่ วัตกิ้นส์ และแจ็ค กรีลิช ขณะที่ฝั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ปวดหัวนอกจากจะไม่มี ซาดิโอ มาเน่ ที่ติดเชื้อโค
วิด-19 แล้วล่าสุดยังเสีย อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่มาเจ็บตอนซ้อม ทำให้เกมนี้ต้องใช้ อาเดรียน ลงเฝ้าเสาแทน ส่วนแนวรุกส่ง ดีเอโก้ โชตา ประสานงานกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่

    เปิดฉากครึ่งแรกมาได้แค่ 4 นาที กลายเป็น "สิงห์ผงาด" ที่ชิงขึ้นนำแชมป์เก่า ลิเวอร์พูล อย่างรวดเร็ว 1-0 เป็นความผิดพลาดของ อาเดรียน ที่จ่ายบอลพลาดหน้าปากประตูตัวเอง แจ็ค กรีลิช ตามไปเก็บบอลก่อนปาดเลียดมาให้ โอลลี่ วัตกิ้นส์ ที่
ยืนโล่งๆ ยิงด้วยซ้ายเสียบตาข่ายเข้าไป เป็นประตูแรกของเจ้าตัวนับแต่ย้ายมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

    นาทีที่ 8 เจ้าบ้านเกือบได้ลุ้นเม็ดสอง และเป็น แจ็ค กรีลิช ที่จ่ายเข้ากลางให้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ซัดด้วยซ้ายบอลพุ่งถากเสาไกลแบบได้เสียว

    นาที 15 "หงส์แดง" พลาดโอกาสไล่ตีเสมอ หลัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จ่ายทะลุช่องให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ หลุดเข้าไปซัดติดเซฟ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ

    นาที 21 อดีตนายด่านปืนใหญ่ต้องออกแรงเซฟอีก หลัง ฟีร์มีโน่ โซโล่เดี่ยวเข้าไปในกรอบก่อนจะล็อคหนีแล้วซัดมุมแคบไปติดมือ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ

    ทีมเยือนบุกเพลินๆ กลายเป็นโดนเม็ดที่ 2 อย่างไม่น่าเชื่อ หลังอีกสองนาที วิลล่า สวนกลับขึ้นมาทางซ้าย แจ็ค กลีลิช แทงบอลให้ โอลลี่ วัตกิ้นส์ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไป ก่อนกระชากหนี โจ โกเมซ ล้มตัวซัดด้วยขวาเสียบเสาเหลี่ยมเสาไกลอย่างงด
งาม

    แชมป์เก่าอยู่ไม่ได้หลังโดนไปสองเม็ด นาที 25 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดด้วยซ้ายไปติด ไทโรน มิงส์ สกัดมาเข้าทาง ดีเอโก้ โชต้า ที่เก็บได้แถวสองวอลเลย์สวนไปตรงตัว เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ รับไว้ไม่มีพลาด

    นาที 28 ดีเอโก้ โชต้า ลากตัดจากริมเส้นทางซ้ายมากลางประตู ก่อนตัดสินใจชิพบอล กำลังจะย้อยข้ามหัว มาร์ติเนซ อยู่แล้ว แต่นายด่านวิลล่ายังเร็วพอถอยหลังปัดปลายมือข้ามคานหวุดหวิด

    เกมสวนกลับของ "สิงห์ผงาด" ยังอันตราย นาที 31 เจ้าบ้านเกือบพังประตูที่สาม บอลออกจากเท้า แจ็ค กรีลิช เข้ากลางมาให้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ แตะขึ้นหน้าเข้าไปเบียดกับ ฟาน ไดค์ แต่หลักไม่ดีซัดบอลหลุดกรอบออกไป

    กระนั้น นาที 33 "หงส์แดง" มาตีไข่แตกพังประตูไล่มาเป็น 1-2 โชต้า กระชากจากซ้ายเข้ากลางก่อนจ่ายให้ นาบี เกอิต้า หมุนตัวซัดไปติดบล็อค แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์ ก่อนปลิ้นมาเข้าทาง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงสวนเข้าไปไม่เหลือ

    บอลแลกกันสนุก นาที 34 แม็ตตี้ แคช วางบอลยาวให้ รอสส์ บาร์คลี่ย์ หลุดกับดักล้ำหน้าขึ้นมาทางขวา ก่อนจะเลือกยิงเสาแรกไปติดขา อาเดรียน ออกหลัง

    และต่อเนื่องจากจังหวะเตะมุม นาที 35 สกอร์ของเจ้าถิ่นทะยานหนี ลิเวอร์พูล 3-1 บาร์คลี่ย์ เปิดเตะมุมมากลางประตู โจ โกเมซ สกัดบอลไปเข้าทาง จอห์น แม็คกินน์ ซัดแบบไม่จับไปแฉลบขา ฟาน ไดค์ เปลี่ยนทางเสียบมุมเข้าไป

     นาที 38  เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ มาโดนใบเหลืองหลังไปเข้าเสียบใส่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ อย่างน่าเกลียด และจากฟรีคิกที่เจ้าถิ่นได้ บาร์คลี่ย์ ลุกมาเปิดฟรีคิกเข้าไป บอลเลยถึง มาห์มูด เทรเซเก้ต์ หลุดขึ้นมาทางซ้ายไม่ล้ำหน้าก่อนครอสมากลางประตูถึง 
โอลลี่ วัตกิ้นส์ โขกตุงตาข่าย เป็นแฮตทริกของอดีตแข้งเบรนฟอร์ด ช่วยให้ "สิงห์ผงาด" นำโด่ง 4-1

    ช่วงทดเจ็บครึ่งแรก นาที 45+1 "หงส์แดง" ได้ลุ้นบ้าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน หลุดไปซัดด้วยซ้ายมุมแคบ แต่ยังไม่ผ่านมือ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ที่เซฟไว้ได้อีก

    จบครึ่งแรก แอสตัน วิลล่า นำห่าง ลิเวอร์พูล อย่างเหลือเชื่อ 4-1

    ครึ่งหลัง  เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับทัพถอดเอา นาบี เกอิต้า ออกแล้วส่ง ทาคูมิ มินามิโนะ ลงไปเล่นแทน

    นาที 55 แอสตัน วิลล่า มาได้ประตูนำห่าง 5-1 จากจังหวะที่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ เล่นชิ่งกับ กลีลิช หน้ากรอบก่อนที่บอลจะมาเข้าเท้า บาร์คลี่ย์ อีกครั้งแล้วซัดเต็มเท้าไปแฉลบ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ บอลพุ่งเปลี่ยนทางเสียบเสาไกลชนิดที่ อา
เดรียน หมดสิทธิ์ป้องกัน

    ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง "หงส์แดง" มาทวงประตูไล่มาเป็น 2-5 จากจังหวะที่ ฟีร์มีโน่ ได้บอลแล้วแทงให้ ซาลาห์ หลุดเข้าไปในกรอบแล้วซัดด้วยซ้ายผ่านมือ มาร์ติเนซ เสียบเสาแรกเข้าไป เป็นประตูที่สองของดาวยิงชาวอียิปต์ในเกมนี้

    ต่างฝ่ายยังเปิดเกมรุกเล่นกันสนุก นาที 66 กลายเป็น "สิงห์ผงาด" ที่มาได้ประตูที่หก คราวนี้เป็น วัตกิ้นส์ ที่จ่ายให้ แจ็ค กรีลิช ดึงหนี เทรนท์ ก่อนซัดด้วยขวาไปแฉลบ ฟาบินโญ่ พุ่งเปลี่ยนทางเสียบเสาแรก พา แอสตัน วิลล่า นำห่าง 6-2

    นาที 75 เกมรับทีมเยือนเละเทะอีก คราวนี้ จอห์น แม็คกินน์ แทงบอลให้ แจ็ค กรีลิช หลุดเข้าไปก่อนซัดผ่าน อาเดรียน เข้าไปอย่างเยือกเย็นให้ วิลล่า ทะยานนำลิ่วแบบเหลือเชื่อ 7-2

    จบเกม แอสตัน วิลล่า งัดฟอร์มสุดยอดไล่ถล่มแชมป์เก่า ลิเวอร์พูล ขาดลอย 7-2 คว้าสามแต้มมีเพิ่มเป็น 9 คะแนน เท่ากับ เลสเตอร์, อาร์เซน่อล และลิเวอร์พูล แต่ลูกได้เสียดีกว่าทำให้รั้งรองจ่าฝูง โดยตามหลังจ่าฝูง "ทอฟฟี่" ที่คว้าชัย 4 นัด รวดอยู่ 3 คะแนน

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

        แอสตัน วิลล่า (4-3-3) : เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ – แม็ตตี้ แคช, เอซรี่ คอนซ่า, ไทโรน มิงส์, แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์ – รอสส์ บาร์คลี่ย์, ดั๊กลาส ลุยซ์, จอห์น แม็คกินน์ – มาห์มูด เทรเซเก้ต์, โอลลี่ วัตกิ้นส์, แจ็ค กรีลิช
 
        ผู้จัดการทีม : ดีน สมิธ
 
        ลิเวอร์พูล (4-3-3) :  อาเดรียน – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – นาบี เกอิต้า, ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดิโอโก้ โชต้า

        ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์

        ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

แมนยูส่ง “มาร์กซิยาล-แรชฟอร์ด” ผนึกหลอนรับสเปอร์สที่มี “เคน” พร้อมปิดสกอร์

"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หวังคว้าชัยต่อเนื่องโดย อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด พร้อมลงประสานคมล่าตาข่าย เกมรับ "ไก่เดือยทอง" สเปอร์ส ที่ แฮร์รี่ เคน ยังคงเป็นแม่ทัพแดนหน้าพังประตู ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : True Premier HD1 (เวลา : 22.30 น.)

ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
แมนฯ ยูไนเต็ด   –   สเปอร์ส
ถ่ายทอดสด
 :  True Premier HD1 (เวลา : 22.30 น.)

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    ทัพปีศาจแดงของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เกมนัดล่าสุด บุกไปชนะไบร์ทตันในศึก คาราบาว คัพ 3-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ 

    โดยเกมในวันนี้จะไม่มี  ฟิล โจนส์ และ อักเซล ตวนเซเบ้ ที่มีอาการบาดเจ็บอยู่ ส่วนตัวหลักคนอื่นๆ ยังอยู่กันครบ นำมาโดยกัปตันทีม  แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ได้พักในเกมกับไบร์ทตัน จะได้กลับมาลงสนามอีกครั้งคู่กับ เอริก ไบยี่ ที่โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในเกมล่าสุด แผงกองกลางยังคงเป็นชุดประจำนำมาโดย ปอล ป็อกบา กับ เนมานย่า มาติช คุมเกมโดยมี บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำเกมรุก ซึ่งดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ยังคงต้องรอโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงต่อไป ริมเส้นเป็น เมสัน กรีนวู้ด และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ส่วนกองหน้าตัวเป้าใช้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เช่นเคย

    ทางฝั่งผู้มาเยือนสเปอร์ส ที่คุมทัพโดย โชเซ่ มูรินโญ่ อดีตนายเก่าของผีแดง นัดล่าสุดลงเล่นในศึกยูโรปา ลีก รอบเพลย์ออฟ เอาชนะ มัคคาบี้ ไฮฟา ไปแบบถล่มทลาย 7-2 

    โดยทัพไก่เดือยทองไม่มีปัญหานักเตะบาดเจ็บหรือติดโทษแบนเพิ่มเติม จะมีเพียง ซน ฮึง-มิน และ แกเร็ธ เบล ที่ยังต้องเรียกความฟิตและทั้งคู่จะกลับมาได้หลังเบรคทีมชาติในกลางเดือนนี้ ส่วนแกนหลักคนอื่นๆพร้อมลงสนามนัดนี้ทั้งหมด

    อูโก้ โยริส ที่ได้พักในเกมยูโรป้า จะได้กลับมาลงเฝ้าเสาเป็นตัวจริงอีกครั้ง โดยมี  ดาวินซอน ซานเชซ, เอริก ดายเออร์ และ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ ยืนคุมแผงหลัง กองกลางใช้  ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก, โจวานี่ โล เซลโซ่ และ แฮร์รี่ วิงค์ส โดยมีหน้าคู่เป็น ลูกัส มูร่า และแฮร์รี่ เคน


รายชื่อผู่เล่นที่คาดว่าจะสนาม

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา-อารอน วาน-บิสซาก้า, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์-ปอล ป็อกบา, เนมานย่า มาติช-เมสัน กรีนวู้ด, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด-อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล 
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา 

    สเปอร์ส (3-5-2) : อูโก้ โยริส-ดาวินซอน ซานเชซ, เอริก ดายเออร์, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์- เซร์คิโอ เรกีลอน, ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก, โจวานี่ โล เซลโซ่, แฮร์รี่ วิงค์ส, แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ – ลูกัส มูร่า, แฮร์รี่ เคน
    ผู้จัดการทีม : โชเซ่ มูรินโญ่

    ผู้ตัดสิน : แอนโทนี่ เทย์เลอร์

 

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุด
วัน/เดือน/ปี    รายการ    ผลการแข่งขัน

20/06/20    พรีเมียร์ลีกสเปอร์ส 1 – 1 แมนฯ ยูไนเต็ด 
05/12/19    พรีเมียร์ลีกแมนฯ ยูไนเต็ด 2 – 1 สเปอร์ส 
25/07/19    กระชับมิตรสเปอร์ส 1 – 2 แมนฯ ยูไนเต็ด 
13/01/19    พรีเมียร์ลีกสเปอร์ส 0 – 1 แมนฯ ยูไนเต็ด 
28/08/18    พรีเมียร์ลีกแมนฯ ยูไนเต็ด 0 – 3 สเปอร์ส 

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
แมนฯ ยูไนเต็ด 

30/09/20 ชนะ ไบรท์ตัน 3-0 (เยือน) ลีก คัพ
26/09/20 ชนะ ไบรท์ตัน 3-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
23/09/20 ชนะ ลูตัน ทาวน์ 3-0 (เยือน) ลีก คัพ 
19/09/20 แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-3 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
12/09/20 แพ้ แอสตัน วิลล่า 0-1 (เยือน) กระชับมิตร 

สเปอร์ส 
01/10/20 ชนะ มัคคาบี้ ไฮฟา 7-2 (เหย้า) ยูโรปา ลีก 
29/09/20 เสมอ เชลซี 1-1 (เหย้า) ลีก คัพ
27/09/20 เสมอ นิวคาสเซิ่ล 1-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
25/09/20 ชนะ สเคนดิย่า 3-1 (เยือน) ยูโรปา ลีก 
20/09/20 ชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 5-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก